ผลการสำรวจครัวเรือนชาวอเมริกาที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง พบว่า ปีนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปีที่ “เงิน” กลายมาเป็นเหตุผลหลักของครัวเรือนชาวอเมริกันที่กำหนดจำนวนของการมี “ลูก”
การสำรวจเพื่อติดตามทัศนคติของครัวเรือนชาวอเมริกัน ที่ทำโดย สถาบันวีทเลย์ จากมหาวิทยาลัยบริงแฮมยัง พบว่า ปีนี้เป็นครั้งแรกที่มากกว่าร้อยละ 70 ของครอบครัวชาวอเมริกัน เชื่อว่า การมีลูกเพิ่มขึ้น 1 คนจะทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป โดยมีผู้ที่มีความเชื่อเช่นนี้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึงร้อยละ 13 และนับเป็นการเปลี่ยนแปลง “ทัศนคติ” ครั้งสำคัญของการวางแผนครอบครัวในสหรัฐอเมริกา
การสำรวจพบว่า ร้อยละ 43 ของผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่า “ไม่มีเงินพอที่จะเลี้ยงลูก” ร้อยละ 17 ระบุว่า ปัญหาด้านการเงินจะส่งผลทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวคลอนแคลน ขณะที่ร้อยละ 12 ระบุว่า ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากพ่อแม่ญาติพี่น้อง และร้อยละ 14 บอกว่า การมีลูกเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าในอาชีพการงาน ซึ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่กำหนดจำนวนการมีลูกและขนาดครอบครัวของชาวอเมริกันยุคปัจจุบัน
ผลสำรวจยังเผยให้เห็นว่า ครัวเรือนชาวอเมริกันให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตและต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นอย่างจริงจัง และไม่สามารถสืบต่อความคิดแบบเก่าที่ว่า “การมีลูกหลายคน เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต” ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ในท่ามกลางค่าครองชีพที่สูงลิ่วดังเช่นที่เป็นอยู่นี้
รายงานของ กระทรวงเกษตรของสหรัฐ เผยว่า นับจากปี 2015 ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็ก 1 คน โดยที่ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายในการเรียนระดับปริญญา เฉลี่ยอยู่ที่ 233,610 ดอลลาร์ หรือตกราว 7.5 ล้านบาท เมื่อคำนวณอัตราเงินเฟ้อล่าสุดในเดือนกันยายน ปี 2025 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 3 เข้าไปด้วย ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูกเพิ่มสูงขึ้นเป็น 310,605 ดอลลาร์ หรือราว 9.9 ล้านบาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการนำลูกไปฝากที่ศูนย์ดูแลเด็กช่วงกลางวันระหว่างที่พ่อแม่ไปทำงาน ตกเฉลี่ยปีละ 13,128 ดอลลาร์ หรือราว 4.2 แสนบาท
ในเรื่องของเงินออมสำหรับกรณีฉุกเฉิน พบว่า ร้อยละ 18 ของคนวัยผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน ระบุว่า มีเงินออมสำหรับกรณีฉุกเฉินไม่ถึง 100 ดอลลาร์, ร้อยละ 13 บอกว่า มีเงินออมฉุกเฉินที่ 100-499 ดอลลาร์ จำนวนเงินออมที่น้อยนิดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่มั่นคงทางการเงินที่กระจายตัวอยู่ทั่วไปในหมู่ชาวอเมริกัน
การศึกษาประชากรโลก เผยว่า ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อปีของครัวเรือนชาวอเมริกันอยู่ที่ราว 61,334 ดอลลาร์ โดยค่าใช้จ่ายเรื่องที่อยู่อาศัยในสัดส่วนใหญ่ที่สุดเกือบร้อยละ 35 ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ เป็นค่าเดินทางเฉลี่ยปีละ 9,826 ดอลลาร์ ค่าใช้จ่ายเรื่องสุขภาพ 5,177 ดอลลาร์ เรื่องอาหารการกิน 7,317 ดอลลาร์ และค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่นๆ อีกราว 4,442 ดอลลาร์ ซึ่งโดยรวมแล้วนับว่าสูงมากสำหรับครัวเรือนที่แม้จะยังไม่มีลูกก็ตาม
ขณะที่เงินออมเพื่อการเกษียณ ข้อมูลของ Fidelity บริษัทบริหารสินทรัพย์รายใหญ่ของสหรัฐ พบว่า คนรุ่นมิลเลนเนียล ซึ่งส่วนใหญ่กำลังอยู่ในวัยสร้างครอบครัว มีเงินออมในบัญชีเกษียณเฉลี่ยอยู่ที่ 67,300 ดอลลาร์ ส่วนชาวอเมริกันที่อายุราวสามสิบตอนต้น มีเงินออมเฉลี่ย 45,700 ดอลลาร์ ขณะที่คนที่ใกล้เกษียณแล้วมีเงินเกษียณเฉลี่ยอยู่ที่ 192,300 ดอลลาร์ ซึ่งยังห่างไกลอยู่มากโขจากจำนวนที่จะทำให้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสุขสบายซึ่งอยู่ที่ 1.26 ล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ อัตราการเกิดในอเมริกายังคงอยู่ในระดับต่ำ ในปี 2024 อัตราการเกิดของทารกต่อผู้หญิง 1 คนอยู่ที่ 1.6 และมีครอบครัวที่มีลูกคนเดียวอยู่เป็นจำนวนมาก
อัตราการเกิดที่ต่ำ หมายถึง จำนวนของประชากรวัยแรงงานที่จะลดน้อยลงในอนาคต รวมถึงรายได้ของรัฐจากการเก็บภาษีที่ลดลงด้วย ซึ่งสร้างแรงกดดันให้กับสวัสดิการสังคมและการสาธารณสุขที่ตองอาศัยเงินภาษี นอกจากนี้ ยังหมายถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้าลง และการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคที่ลดลง
มีงานศึกษาของ Aspen Economic Strategy Group ชี้ว่า อัตราส่วนของแรงงานต่อจำนวนคนวัยเกษียณที่รับสวัสดิการลดลงจากราว 4 ต่อ 1 ในปี 1964 เหลือเพียง 2.7 ต่อ 1 ในปัจจุบัน หากอัตราการเกิดและการอพยพของแรงงานข้ามชาติไม่เพิ่มขึ้น ชาวอเมริกันอาจต้องรับภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นอีกราวร้อยละ 20 ซึ่งก็จะยิ่งบีบคั้นครัวเรือนอเมริกันมากขึ้นอีก