ทีมนักวิจัยจากอิตาลีทำการทดลองสุดประหลาด เพื่อทดสอบ “ความมีน้ำใจ” ของผู้คน โดยพบว่า เมื่อมีซูเปอร์ฮีโร่สุดโหดอย่าง “แบทแมน” ปรากฏตัวขึ้นแบบไม่มีปี่ขลุ่ยในขบวนรถไฟใต้ดิน ทำให้ผู้โดยสารมีน้ำใจต่อผู้อื่นมากขึ้นถึงเกือบ 2 เท่า
งานวิจัยหัวข้อ เหตุการณ์ไม่คาดฝันและพฤติกรรมเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่นซึ่งเป็นผลจากแบทแมน ตีพิมพ์ในวารสารวิจัย npj Mental Health Research เผยว่า การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของสิ่งที่ไม่คาดคิด เช่น ผู้ชายที่แต่งชุด “อัศวินรัตติกาล” แบบเต็มยศ สามารถช่วยดึงสติผู้คน และมีแนวโน้มทำให้ผู้คนมอบความช่วยเหลือต่อผู้อื่นมากขึ้น
งานวิจัยดังกล่าวนำโดย ศาสตราจารย์ฟรานเชสโก พาญินี ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาคลินิก จากมหาวิทยาลัยพระหฤทัยคาทอลิกแห่งเมืองมิลาน ในอิตาลี ทำการทดสอบโดยให้ผู้หญิงที่ดูเหมือนกำลังตั้งครรภ์ขึ้นไปบนขบวนรถไฟใต้ดิน และดูว่ามีผู้โดยสารกี่คนที่ยอมสละที่นั่งให้กับเธอ จากนั้นทำการทดลองซ้ำ โดยให้ชายในชุด “แบทแมน” เดินเข้ามาในโบกี้รถไฟด้วยจากอีกประตูหนึ่งของขบวนรถ
รายงานวิจัยระบุว่า ต้องการตรวจสอบสมมติฐานว่า เหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น การมีซูเปอร์ฮีโร่ปรากฏตัวบนระบบขนส่งสาธารณะ หรือการมีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้นในห้องเรียน จะสามารถส่งเสริมพฤติกรรมการช่วยเหลือผู้อื่นได้หรือไม่ โดยอาศัยทฤษฎีการมีสติรู้ตัว และทฤษฎีว่าด้วยการขัดจังหวะพฤติกรรมที่เป็นไปอัตโนมัติ หรือพฤติกรรมที่ทำเป็นประจำจนเกิดเป็นความชินชา จะสามารถปลุกให้ผู้คนรับรู้สิ่งรอบตัวได้มากขึ้น
นักวิจัยทำการทดลองและเก็บข้อมูลรวม 138 ครั้ง พบว่า ในกรณีผู้หญิงที่ดูเหมือนกำลังตั้งครรภ์ขึ้นไปในขบวนรถไฟโดยที่ไม่มีแบทแมน มีผู้โดยสารร้อยละ 37.66 ยอมสละที่นั่งให้ใน แต่เมื่อมี แบทแมน ปรากฏตัวอยู่ในโบกี้ด้วย อัตรานี้เพิ่มขึ้นจากเดิมเกือบ 2 เท่า เป็นร้อยละ 67.21 และพบว่า ทั้งสองกรณี ผู้หญิงเป็นกลุ่มที่เสียสละที่นั่งให้มากที่สุด
ศาสตราจารย์ฟรานเชสโก กล่าวว่า ผลลัพธ์นี้สอดคล้องกับงานวิจัยก่อนหน้าที่เกี่ยวกับการมีสติอยู่กับปัจจุบันขณะ ที่บอกว่า การรับรู้ถึงปัจจุบันขณะจะทำให้คนเรามีน้ำใจมากขึ้น
การทดลองพบสิ่งที่น่าสนใจ โดยพบว่า ร้อยละ 44 ของคนที่สละที่นั่งในกรณีที่มีแบทแมนอยู่ในโบกี้รถไฟ ระบุว่า พวกเขา “ไม่เห็นแบทแมน” แต่นักวิจัยชี้ว่า ผลลัพธ์นี้บ่งบอกถึงว่า เหตุการณ์ไม่คาดคิดสามารถส่งเสริมพฤติกรรมการเอื้อเฟื้อที่ต่อผู้อื่นได้แม้ในระดับที่ไม่รู้ตัว ซึ่งอาจมีประโยชน์สำหรับการออกแบบวิธีส่งเสริมความมีน้ำใจต่อกันของผู้คนในที่สาธารณะได้
“งานวิจัยนี้แสดงหลักฐานว่า เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น การมีบุคคลแต่งตัวเป็นแบทแมนอยู่ในสถานที่ สามารถเพิ่มพฤติกรรมมีน้ำใจในสภาพแวดล้อมจริงได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเราเห็นว่า การมีแบทแมนอยู่ด้วยทำให้ผู้โดยสารยินดีสละที่นั่งให้ผู้หญิงที่ดูเหมือนกำลังตั้งครรภ์มากกว่า 'แบทแมนเอฟเฟกต์' นี้สนับสนุนสมมติฐานที่ว่า การทำให้จังหวะกิจวัตรประจำวันของผู้คนสะดุด สามารถทำให้พวกเขาตื่นตัวกับสิ่งรอบตัวมากขึ้น และไวต่อความต้องการของผู้อื่นมากขึ้น จนนำไปสู่พฤติกรรมการมีน้ำใจกับผู้อื่น” รายงานวิจัยระบุ
รายงานวิจัยระบุด้วยว่า ผลการศึกษานี้สามารถต่อยอดบทสนทนาเกี่ยวกับวิธีออกแบบพื้นที่สาธารณะ และการแทรกแซงทางสังคมเพื่อส่งเสริมความมีน้ำใจ เพิ่มความตระหนักรู้ และความเอื้อเฟื้อต่อกัน ซึ่งนักผังเมือง ผู้กำหนดนโยบาย และนักจิตวิทยา อาจพิจารณาการผสาน “สิ่งรบกวนเชิงบวก” เข้ากับชีวิตประจำวันของผู้คน เช่น การจัดแสดงงานศิลปะหรือกิจกรรมเชิงละครในพื้นที่สาธารณะ ไปจนถึงแคมเปญสื่อสารที่ออกแบบมาเพื่อสะกิดผู้คนให้หลุดจากโหมดโลกส่วนตัวแบบอัตโนมัติ หันมาเชื่อมต่อกับสิ่งรอบตัวและชุมชนมากขึ้น
อย่างไรก็ดี นักวิจัยระบุว่า งานศึกษานี้แม้จะทำการทดลองในสภาพแวดล้อมจริง แต่ยังมีข้อจำกัดอยู่ที่ระบบขนส่งสาธารณะที่มีบริบทเฉพาะอย่างรถไฟใต้ดิน ซึ่งอาจส่งผลลัพธ์ที่ต่างออกไปหากนำไปใช้ในที่อื่น และการส่งเสริมพฤติกรรมมีน้ำใจยังไม่ชัดเจนว่า มีผลเฉพาะกับ “แบทแมน” หรืออาจเกิดกับตัวละครอื่นๆ ได้ด้วยเช่นกัน งานวิจัยในอนาคตจึงควรมีการทดสอบตัวละครอื่นๆ หรือใช้สิ่งรบกวนที่หลากหลายที่มีความแตกต่างกันทั้งในด้านอารมณ์และความหมายเชิงสัญลักษณ์ เพื่อกำหนดขอบเขตของผลลัพธ์ให้ชัดเจนขึ้น
“จริงๆ แล้ว งานนี้ไม่ใช่เรื่องของแบทแมนหรอก มันเป็นเรื่องของความแปลกใหม่ ความไม่คาดคิด และอาจจะเกี่ยวกับการที่เราอยู่ใกล้ตัวละครในตำนานที่ผูกโยงกับภาพลักษณ์ของความยุติธรรมและความดี ซึ่งอาจช่วยปรับให้เราปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างอ่อนโยนและเป็นมนุษย์มากขึ้น” ศาสตราจารย์ฟรานเชสโก กล่าว
ที่มา
Man Dressed as Batman Made Subway Commuters Kinder, Study Finds
Unexpected events and prosocial behavior: the Batman effect