งานศึกษาชิ้นใหม่จากมหาวิทยาลัยซูริก ในสวิตเซอร์แลนด์ และมหาวิทยาลัยลัฟเบอระ ในอังกฤษ พบว่า การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ที่รวดเร็วในรอบไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา เร็วเกินกว่าวิวัฒนาการทางชีววิทยาของมนุษย์จะปรับตามทัน และส่งผลต่อความสามารถในการดำรงอยู่ของ “โฮโมเซเปียนส์” หรือ “มนุษย์ยุคปัจจุบัน” ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
ทีมวิจัยของ มหาวิทยาลัยลัฟเบอระ และ มหาวิทยาลัยซูริก นำเสนอแนวคิดสำคัญที่เรียกว่า “environmental mismatch” หรือ “ความไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม” หมายถึง การที่ร่างกายและจิตใจของมนุษย์ที่ถูกออกแบบมาตั้งแต่สมัย “ยุคหิน” กำลังเจ็บป่วยกับสภาพแวดล้อม วิถีชีวิต และความเครียดของ “โลกสมัยใหม่”
นักวิจัยกล่าวว่า ช่วงเวลาส่วนใหญ่ในประวัติศาสตร์ของโฮโมเซเปียนส์ กินอาหารที่หลากหลายจากธรรมชาติ มีการเคลื่อนไหวแทบตลอดเวลา เคยเดินวันละหลายกิโลเมตร และอาศัยอยู่ในกลุ่มเล็กๆ ที่แน่นแฟ้น ร่างกายวิวัฒนาการเก็บไขมันไว้ใช้ช่วงที่ขาดแคลนอาหาร และระบบตอบสนองความเครียด ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองเฉียบพลันกับภัยอันตรายช่วงเวลาสั้นๆ เช่น การเผชิญกับสัตว์ร้าย
แต่หลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่วิวัฒนาการของมนุษย์จะตามทัน การเคลื่อนไหวตลอดวันกลายเป็นการนั่งนานๆ ติดต่อกันหลายชั่วโมง อาหารธรรมชาติ กลายเป็นอาหารแปรรูปเต็มไปด้วยน้ำตาลและไขมันเลว ชุมชนเล็กๆ กลายเป็นเมืองใหญ่ที่แออัด และสังคมออนไลน์ทำให้คนรู้สึกเหงามากขึ้น
นักวิจัยระบุว่า มีสัญญาณมากมายที่บ่งชี้ว่า มนุษย์ยังไม่มีเวลามากพอสำหรับการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วตลอดร้อยปีที่ผ่านมา โดยยกตัวอย่างเช่น อัตราการเกิดที่ลดลงทั่วโลก ภาวะอักเสบและการป่วยเรื้อรังที่เพิ่มขึ้น รวมถึงแนวโน้มปัญหาสุขภาพอื่นๆ เป็นหลักฐานว่า มนุษย์เริ่มใช้ชีวิตบนโลกใบนี้อย่างยากลำบากตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมา
หนึ่งในตัวอย่างของการเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็วจากสังคมล่าสัตว์เก็บของป่าไปสู่สังคมเมือง ในสังคมล่าสัตว์ มนุษย์เผชิญความเครียดเฉพาะช่วงเวลาสั้นๆ แต่สังคมเมืองนั้น มีความท้าทายรายวันที่ทำให้เราต้องอยู่ในโหมดตื่นตัวสูงตลอดเวลา นอจากนั้นยังมีเรื่องเสียงดังในเมือง มลพิษทางอากาศและแสง ไมโครพลาสติก สารเคมีกำจัดศัตรูพืช อาหารแปรรูป การใช้ชีวิตที่ไม่ค่อยขยับเขยื้อนร่างกาย และการรับสิ่งกระตุ้นมากเกินไป ล้วนเป็นประสบการณ์ใหม่ในประวัติศาสตร์ของโฮโมเซเปี้ยนส์
นักวิจัยระบุว่า โรคอ้วน ที่แพร่หลายในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องของวินัยส่วนบุคคล แต่เกิดจากการที่ร่างกายซึ่งถูกสร้างมาเพื่อสะสมพลังงานมาเจอกับปริมาณแคลอรี่ที่ล้นเกิน ส่วนภาวะวิตกกังวลและซึมเศร้า เกิดจากการที่ระบบความเครียดถูกเปิดใช้งานตลอดเวลา จากความกดดันเรื่องงานและสังคม รวมถึงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคหัวใจ ก็เป็นผลผลิตโดยตรงจากความไม่สอดคล้องนี้
โคลิน ชอว์ หัวหน้าทีมวิจัยด้านนิเวศสรีรวิทยาเชิงวิวัฒนาการของมนุษย์ แห่งมหาวิทยาลัยซูริก บอกว่า ร่างกายมนุษย์ในปัจจุบัน ตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมด้วยความเครียด เหมือนกำลังเผชิญหน้ากับ “สิงโต” ทุกครั้ง
“ในสภาพแวดล้อมของบรรพบุรุษ เราถูกออกแบบมาให้รับมือกับความเครียดเฉียบพลัน เพื่อหลบหนีหรือสู้กับนักล่า สิงโตจะโผล่มาเป็นครั้งคราว และเราต้องพร้อมป้องกันตัวหรือวิ่งหนี ที่สำคัญคือ สิงโตจะหายไปในที่สุด แต่ทุกวันนี้ ความกดดันรูปแบบใหม่กลับผุดขึ้นทุกวัน เรากลับแทบไม่เคยได้พักจากความเครียด ทั้งรถติด เรื่องงาน โซเชียลมีเดีย และสิ่งกระตุ้นที่มีมาไม่หยุดหย่อน ซึ่งเรียกใช้ระบบชีววิทยาแบบเดิมทุกประการ แต่ไม่มีปุ่มปิด” โคลิน กล่าว
“มันเป็นความย้อนแย้งอย่างมาก เพราะตลอด 300 ปีที่ผ่านมา เราสร้างความมั่งคั่ง ความสะดวกสบาย สร้างระบบสาธารณสุขที่ดีให้กับผู้คนจำนวนมากบนโลก แต่ขณะเดียวกัน ความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมเหล่านี้กลับส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน การทำงานของสมอง ร่างกาย และระบบสืบพันธุ์อย่างไม่น่าเชื่อ” โคลินกล่าว
โคลินบอกว่า สมองของมนุษย์มีความซับซ้อนกว่าสัตว์ฟันแทะและแมลงมาก ซึ่งทำให้การปรับตัวทางชีววิทยานั้นช้ามาก การปรับตัวทางพันธุกรรมต้องใช้เวลาหลายรุ่นและกินตั้งแต่หลักหมื่นถึงแสนปี
แม้จะฟังดูน่าหดหู่ แต่นักวิจัยเสนอว่า ต้องลดผลกระทบของโลกสมัยใหม่ต่อสุขภาพ โดยเปลี่ยนความสัมพันธ์กับธรรมชาติ มองธรรมชาติว่าเป็นการรักษาสุขภาพที่จำเป็น และให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมที่ยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งอาจทำได้ยาก เพราะจำนวนประชากรโลกและการแสวงหาทรัพยากรนั้นมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงการอยากสร้างผลกำไรที่มักทำลายธรรมชาติ ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงต้องเกิดจาดทั้งทางวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม
“แนวทางหนึ่งคือ การคิดใหม่อย่างจริงจังเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรากับธรรมชาติ มองธรรมชาติเป็นปัจจัยสำคัญด้านสุขภาพ และปกป้องหรือฟื้นฟูพื้นที่ที่คล้ายกับสภาพแวดล้อมในยุคล่าสัตว์เก็บของป่า เราต้องออกแบบเมืองให้ดีขึ้น และในเวลาเดียวกัน ฟื้นฟู ให้คุณค่า และใช้เวลาในธรรมชาติมากขึ้น” โคลินกล่าว
ที่มา
We’re evolving too slowly for the world we’ve built, according to science
Human Evolution Isn't Fast Enough To Keep Up With Pace Of The Modern World
Our Stone-Age Bodies Struggle in a Modern World