นักเรียนอนุบาลไปจนถึงมัธยมปลายของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป จะได้เรียนเกี่ยวกับ “สภาพภูมิอากาศศึกษา” ในโรงเรียน จากการตัดสินใจครั้งล่าสุดของสหภาพยุโรปในการเพิ่มหลักสูตรเกี่ยวกับ “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” เข้าไปในห้องเรียน
ข้อกำหนดดังกล่าว เพื่อทำให้ระบบการศึกษาสอดคล้องกับเป้าหมายทางด้านภูมิอากาศในระยะยาว โดยทุกประเทศที่ลงนามใน “ข้อตกลงปารีส” จะต้องเสนอ แผนรับมือกับสภาพภูมิอากาศ หรือ NDC ที่ระบุถึงเป้าหมายและการดำเนินงานเกี่ยวกับภูมิอากาศ
สำหรับกระทรวงศึกษาธิการ แผนเหล่านี้ถือเป็นสัญญาประชาคมในการร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยนำหลักสูตร “สภาพภูมิอากาศศึกษา” บรรจุลงในเนื้อหาของบทเรียนอย่างเป็นทางการ และต้องมีการกำหนดระยะเวลา งบประมาณ และผู้รับผิดชอบอย่างชัดเจน รวมถึงมีการอบรมครู การมีวัสดุการเรียนรู้ใหม่ๆ ให้กับนักเรียน และมีการติดตามประเมินผลในฐานะความก้าวหน้าของการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศ
การดำเนินการหลักสูตรสภาพภูมิอากาศศึกษาในห้องเรียน จะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างทีมด้านการศึกษา ร่วมกับทีมด้านสภาพภูมิอากาศ ภายใต้คณะกรรมาธิการยุโรป เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจริงในห้องเรียน และทำให้ระบบการศึกษาสอดคล้องกับเป้าหมายด้านภูมิอากาศระยะยาว
ภายใต้การเรียนเรื่องสภาพภูมิอากาศ นักเรียนจะไม่ได้เรียนเพียงแค่เรื่องไกลตัว อย่างเช่น น้ำแข็งขั้วโลกที่กำลังละลาย หรือคลื่นความร้อน แต่จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่เกิดขึ้นในท้องถิ่น รวมถึงการพัฒนาทักษะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรืออาชีพที่ลดการปล่อยก๊าซ หรืออาชีพที่เกี่ยวกับการปกป้องระบบนิเวศ ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศของสหภาพยุโรป
ทักษะเหล่านี้ นักเรียนจะได้เรียนรู้ตั้งแต่การจัดการพลังงานในธุรกิจท้องถิ่น ไปจนถึงการวางแผนระบบขนส่ง หรือการทำเกษตรกรรมที่สอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศ
การศึกษาของ ธนาคารโลก ระบุว่า การศึกษาเป็นทรัพยากรสำคัญสำหรับการรับมือกับสภาพภูมิอากาศ เพราะช่วยกำหนดพฤติกรรม สร้างทักษะ และกระตุ้นการสร้างนวัตกรรม ซึ่งสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงกำลังส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ของนักเรียน การเตรียมความพร้อมให้กับครูและนักเรียน จึงเป็นส่วนหนึ่งของการจัดแนวทางการเรียนรู้ในสภาพที่โลกกำลังร้อนขึ้น
มีงานวิจัยของ LinkedIn พบว่า บริษัทต่างๆ กำลังมองหาแรงงานที่มีความรู้ด้านสภาพภูมิอากาศในอัตราที่สูงกว่าโรงเรียนและสถาบันฝึกอบรมต่างๆ จะผลิตบุคลากรได้ทัน โดยในปี 2022–2023 สัดส่วนของแรงงานที่มีทักษะสีเขียวอย่างน้อยหนึ่งด้าน เติบโตขึ้น ร้อยละ 12.3 ในขณะที่ประกาศรับสมัครงานที่ต้องการทักษะเหล่านี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.4 องค์การสหประชาชาติ ประมาณการว่า การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวอาจสร้างงานใหม่มากกว่า 100 ล้านตำแหน่งทั่วโลกภายในปี 2030
“การบรรจุการศึกษาด้านภูมิอากาศลงใน NDC ของสหภาพยุโรป เป็นก้าวสำคัญในการเตรียมพร้อมนักเรียนให้มีทักษะสีเขียว” คาทาร์ซีนา วโรนา ผู้อำนวยการด้านการเจรจาภูมิอากาศ กระทรวงภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมของโปแลนด์กล่าว
การบรรจุการเรียนเรื่องสภาพภูมิอากาศในห้องเรียนเป็นเพียงก้าวแรก รัฐบาลประเทศต่างๆ ที่ลงนามในข้อตกลงปารีสจะต้องจัดสรรงบประมาณสำหรับการอบรมครู การเตรียมวัสดุการสอนแบบใหม่ และการสนับสนุนระยะยาวแก่ระบบการศึกษา
องค์กรด้านสิ่งแวดล้อม อย่างเช่น EARTHDAY.ORG ระบุว่า เงินกองทุนด้านสภาพภูมิอากาศ ไม่ควรใช้ไปกับแค่การติดโซลาร์เซลล์ หรือการสร้างกำแพงกันคลื่น แต่ควรใช้กับแผนการสอนในโรงเรียน การจ้างครูพี่เลี้ยง รวมถึงเพื่อสร้างความร่วมมือกับท้องถิ่นด้วย
การเตรียมบรรจุหลักสูตร “สภาพภูมิอากาศศึกษา” นี้ เป็นผลจากการเคลื่อนไหวผลักดันของเยาวชนในยุโรปจำนวนมาก ร่วมกับภาคประชาสังคม เพื่อทำให้ผู้นำประเทศตระหนักว่า “การศึกษา” เป็นส่วนหนึ่งของ “นโยบายด้านสภาพภูมิอากาศ” มากกว่าเป็นแค่เรื่องประเด็นทางด้านสังคม
เมื่อแผนงานถูกนำไปสู่การปฏิบัติ การเรียนวิชาสภาพภูมิอากาศในห้องเรียน จะไม่ใช่หัวข้อพิเศษในชั้นเรียนอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นทักษะพื้นฐานในการใช้ชีวิตในศตวรรษที่ 21
ที่มา
Dozens of countries now require climate education beginning in kindergarten