ยูนิเซฟ ระบุว่า มีเด็กราว 13.6 ล้านคนทั่วประเทศไทย กำลังเผชิญความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่อสุขภาพอันเนื่องจากมลพิษทางอากาศจากฝุ่น PM2.5 ที่เพิ่มสูงขึ้น
รายงานเรื่อง Over the Tipping Point report ขององค์การยูนิเซฟ ในปี 2566 พบว่า เด็กในประเทศไทยที่เผชิญความเสี่ยงสูงจากฝุ่น PM2.5 นั้นมีจำนวนมากกว่าเด็กที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางสภาพอากาศอื่น ๆ เช่น น้ำท่วม คลื่นความร้อน และภัยแล้ง
ยูนิเซฟแสดงความกังวลต่อระดับค่าฝุ่น PM2.5 ที่เพิ่มสูงขึ้นในประเทศไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กราว 13.6 ล้านคนทั่วประเทศ และต้องการให้มีการดำเนินการเร่งด่วนเพื่อปกป้องสุขภาพและคุณภาพชีวิตของเด็กๆ
ยูนิเซฟระบุว่า เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เป็นกลุ่มที่เปราะบางต่อมลพิษทางอากาศมากเป็นพิเศษ โดยฝุ่น PM2.5 สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา และส่งผลต่อเนื่องในระยะยาว เช่น การคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักแรกเกิดต่ำ และมีปัญหาเรื่องพัฒนาการทางสมอง ยิ่งไปกว่านั้น เด็กยังหายใจรับอากาศมากกว่าผู้ใหญ่เมื่อเทียบปริมาณต่อน้ำหนักตัว ทำให้ดูดซับมลพิษได้มากกว่าผู้ใหญ่ ในขณะที่ปอด ร่างกาย และสมองยังคงเจริญเติบโตไม่เต็มที่
นอกจากนี้ อนุภาคของ PM2.5 มีขนาดเล็กพอที่จะเข้าสู่ปอดในส่วนลึกและเข้าสู่กระแสเลือด ไปทำลายระบบอวัยวะต่างๆ และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรค เช่น โรคหอบหืด ปอดอักเสบ และโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรังในเด็ก การสัมผัสฝุ่น PM2.5 ในระยะยาวยังเชื่อมโยงกับโรคไม่ติดต่อในผู้ใหญ่ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน และมะเร็งปอด
จาก รายงานสภาวะอากาศโลก (the State of Global Air) ฉบับที่ 5 ที่เผยแพร่โดย Health Effects Institute และ ยูนิเซฟ ชี้ว่า ในปี 2564 มีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีราว 700,000 คนทั่วโลก หรือเฉลี่ยวันละเกือบ 2,000 คน ต้องเสียชีวิตจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ และกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับที่สองของการเสียชีวิตของเด็กกลุ่มนี้ทั่วโลก รองจากภาวะทุพโภชนาการ รายงานยังระบุด้วยว่าฝุ่น PM2.5 เป็นตัวบ่งชี้ที่แม่นยำและชัดเจนที่สุดในการคาดการณ์ปัญหาสุขภาพของประชากรทั่วโลกในอนาคต
ยูนิเซฟยังระบุด้วยว่า ข้อมูลทั่วโลกแสดงให้เห็นว่า เด็กในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลางได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศที่มีรายได้สูง โดยมีอัตราการเสียชีวิตที่สูงกว่าอย่างชัดเจน
“เราต้องการความมุ่งมั่น ความร่วมมือ และการดำเนินการที่เด็ดขาดจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาครัฐและภาคธุรกิจ เพื่อจัดการกับสาเหตุของมลพิษทางอากาศอย่างจริงจัง นี่เป็นหนทางเดียวที่จะช่วยให้เด็กทุกคนได้เติบโตในโลกที่ปลอดภัย สะอาด และยั่งยืน” คยองซอน คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าว
ทั้งนี้ ยูนิเซฟกำลังจัดทำการวิจัยโครงสร้างพื้นฐานของโรงเรียนทั่วประเทศ โดยเน้นการปรับปรุงอาคารและห้องเรียนให้สามารถรับมือกับภัยพิบัติทางสภาพอากาศ รวมถึงฝุ่น PM2.5 ได้ดียิ่งขึ้น งานวิจัยซึ่งคาดว่าจะเผยแพร่ในปีนี้ จะเป็นข้อมูลสำคัญในการผลักดันการดำเนินการของรัฐบาลและระดมทรัพยากรเพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
ยูนิเซฟยังเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและภาคเอกชนเร่งแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ เพื่อลดมลพิษทางอากาศและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเน้นย้ำว่าการตัดสินใจที่กล้าหาญและมองการณ์ไกลเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการแก้ปัญหาระยะยาวแทนการใช้มาตรการระยะสั้น