“เงินทอง” ไม่ได้ “เปลี่ยนแปลง” ผู้คนได้มากเท่ากับ “การเปิดเผยตัวตน” ที่แท้จริงของพวกเขา มันทำให้คนจำนวนหนึ่งสะดวกสบายและมีอำนาจ แต่ก็ปลดเปลื้องหน้ากากให้เห็นถึงธาตุแท้ที่อยู่ภายใน
มีงานวิจัยที่พบว่า คนบางคนเมื่อร่ำรวยมากขึ้น พวกเขาจะใส่ใจผู้คนรอบตัวน้อยลง หรือจะแหกกฎระเบียบต่างๆ เมื่ออยู่นอกเหนือสายตาผู้คน
มีงานวิจัยที่ได้การสนับสนุนจากกองทุนการวิจัยของฟินแลนด์ เรื่อง ไม่ใช่แค่พวกเวรเท่านั้นที่ขับรถเมอร์เซเดส คนที่มีจิตสำนึกดี ก็ขับรถหรูพวกนี้เหมือนกัน ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ International Journal of Phycology เผยว่า คนที่ขับรถยนต์หรูราคาแพงมักไม่สนใจรถยนต์คันอื่นๆ หรือไม่เห็นหัวคนที่เดินถนน ขณะที่งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งเผยว่า รายได้ที่สูงนั้นสัมพันธ์กับการลดลงของความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
นักจิตวิทยา กล่าวถึงสิ่งที่เรียกว่า “พันธมิตรด้านมืด 3 อย่าง” ซึ่งเป็นกลุ่มของบุคลิกสามแบบที่เติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมของคนที่มีสถานะสูง เพราะพวกเขามีทั้ง เสน่ห์ ความทะเยอทะยาน และขาดความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ด้านมืด 3 อย่าง ได้แก่ การหลงตัวเอง ความอำมหิต และความเจ้าเล่ห์เห็นแก่ตัว
ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า “เงิน” ไม่ใช่ผู้ร้ายโดยตัวของมันเอง มันเพียงแค่ไปขยายสิ่งที่มีอยู่ในตัวคนคนนั้นให้ชัดขึ้น เช่น หากคนที่เดิมใจกว้างอยู่แล้ว ก็อาจบริจาคเงินเป็นจำนวนหลักล้านได้ แต่ถ้าเดิมเป็นโหดเหี้ยม เห็นแก่ตัว เงินก็อาจถูกใช้เพื่อการเอาเปรียบคนอื่น
ในงานวิจัยเรื่องความสุขและรายได้ ของ แดเนียล คาห์เนมาน นักจิตวิทยา พบว่า ระดับความเป็นอยู่ที่ดีของคนเรา จะเริ่มทรงตัวเมื่อมีรายได้ที่ 110,000 ดอลลาร์ต่อปี จากจุดนั้นเป็นต้นไป เงินที่หามาได้เพิ่มขึ้น จะไม่ได้ทำให้เรามีความสุขมากขึ้น
ในทางกลับกัน การไล่ตามเงินมากขึ้นเรื่อยๆ อาจยิ่งทำให้รู้สึกเหมือน “ไม่เติมเต็ม” และมักผลักให้คนยังคงไล่ตามความสำเร็จต่อไป ด้วยแรงขับที่ทำให้พวกเขาทะเยอทะยานตั้งแต่แรก
แม้ว่า มหาเศรษฐีหลายคนจะใช้เงินเพื่อประโยชน์ให้สังคม แต่ข้อมูลชี้ว่า ยิ่งความมั่งคั่งเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ มันยิ่งแบ่งแยกคนออกจากบรรทัดฐานทางสังคม ซึ่งเป็นตัวควบคุมความประพฤติของคนทั่วไป รวมถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำ คนรวยที่สุดอาจใช้เงินซื้อได้ทุกอย่างที่ต้องการ ยกเว้นความรู้สึกที่ว่า พอแล้ว
ที่มา
Rich People Aren’t as Nice as the Rest of Us, Science Says So