Skip to main content

 

ปี 2024 ที่ผ่านมา โลกมีอภิมหาเศรษฐีพันล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้น 204 ราย และในปีเดียวกันนี้ บรรดาผู้อภิมหาร่ำรวยเหล่านี้ ร่ำรวยเพิ่มขึ้นรวมถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์

อ็อกซ์แฟม เผยแพร่รายงานชื่อ “Takers not Makers” ระบุว่า ในปี 2024 เพียงปีเดียว อภิมหาเศรษฐีของโลกร่ำรวยเพิ่มขึ้นถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเฉลี่ยรวยขึ้นราว 5.7 พันล้านดอลลาร์ต่อวัน ซึ่งเป็นอัตราที่รวดเร็วกว่าปีก่อนหน้าถึง 3 เท่า โดยเฉลี่ยแล้วมีอภิมหาเศรษฐีหน้าใหม่เกิดขึ้นราว 4 คนต่อสัปดาห์

ในปี 2024 จำนวนอภิมหาเศษฐีเพิ่มขึ้นจาก 2,565 รายในปีก่อนหน้า มาเป็น 2,769 ราย และความมั่งคั่งเพิ่มจาก 13 ล้านล้านดอลลาร์ เป็น 15 ล้านล้านดอลลาร์ภายในหนึ่งปี นับเป็นความมั่งคั่งต่อปีที่มากเป็นอันดับสองนับตั้งแต่มีการบันทึกข้อมูลมา โดยที่ความมั่งคั่งของ 10 อันดับคนรวยที่สุดในโลก เพิ่มขึ้นเฉลี่ยวันละ 100 ล้านดอลลาร์

อ๊อกซ์แฟม คาดว่า อีก 1 ทศวรรษจากนี้จะมีอภิมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยหลักล้านล้านดอลลาร์เกิดขึ้นอย่างน้อย 5 คน โดยในปี 2024 มีมหาเศรษฐีหน้าใหม่จำนวน 204 ราย ซึ่งเกินกว่าครึ่งหนึ่งของความร่ำรวยนี้มาจากมรดก อำนาจการผูกขาดอำนาจเศรษฐกิจ และจากเครือข่ายเพื่อนสนิท

อ็อกซ์แฟม ระบุว่า ในปี 2023 กลุ่มคนที่ร่ำรวยที่สุดในซีกโลกทางเหนือ ซึ่งมีอยู่เพียงร้อยละ 1 ดึงเอาเงินจากคนทางซีกโลกใต้ไปถึงชั่วโมงละ 30 ล้านดอลลาร์

“การยึดกุมเศรษฐกิจโลกโดยอภิสิทธิ์ชนไม่กี่คนนั้น ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ความล้มเหลวในการหยุดบรรดาเศรษฐีพันล้านทำให้ตอนนี้ได้กลายมาเป็นเศรษฐีล้านล้าน ไม่เพียงแต่อัตราความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้น 3 เท่า แต่อำนาจของพวกเขาก็เพิ่มมากขึ้นด้วย” อมิตาบห์ บีฮาร์ กรรมการบริหารอ็อกซ์แฟมอินเตอร์เนชั่นแนลกล่าว

รายงานของอ็อกซ์แฟม ชี้ถึงวิธีที่ทำให้คนกลุ่มเล็กๆ นี้ร่ำรวย โดยระบุว่า ร้อยละ 60 ของอภิมหาเศรษฐี ร่ำรวยจากมรดก และการผูกขาดอำนาจ หรือการมีเครือข่ายเพื่อนสนิท รวมถึงความมั่งคั่งที่ไม่สมควรได้และจากลัทธิล่าอาณานิคมในอดีต ที่นอกจากสร้างประวัติศาสตร์ความมั่งคั่งจากความโหดร้ายป่าเถื่อนแล้ว ยังเป็นส่งอิทธิพลต่อความเหลื่อมล้ำของทุกวันนี้  

งานวิจัยของนิตยสารฟอร์บส์ พบว่า อภิมหาเศรษฐีที่อายุต่ำกว่า 30 ทุกคนล้วนร่ำรวยจากมรดก ขณะที่ UBS องค์กรบริการด้านการเงิน ประเมินว่า อภิมหาเศรษฐีมากกว่า 1,000 รายทุกวันนี้ จะส่งผ่านเงินมากกว่า 5.2 ล้านล้านดอลลาร์ไปยังทายาทของพวกเขาในอีกสองหรือสามทศวรรษข้างหน้า

อ็อกซ์แฟมระบุว่า ในปี 2023 กลุ่มคนที่รวยที่สุดร้อยละ 1 ในประเทศซีกโลกเหนือ เช่น ในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส ดึงเงินจากประเทศในซีกโลกใต้ได้ชั่วโมงละ 30 ล้านดอลลาร์ผ่านทางระบบการเงิน โดยที่ประเทศซีกโลกเหนือถือครองความมั่งคั่งของทั้งโลกในสัดส่วนร้อยละ 69

ขณะที่บรรดาประเทศรายได้ปานกลางและรายได้ต่ำ ต้องชำระดอกเบี้ยให้กับประเทศร่ำรวยคิดเป็นเงินเกือบครึ่งหนึ่งของงบประมาณประจำปีของประเทศ ระหว่างปี 1970 ถึง 2023 รัฐบาลของประเทศทางซีกโลกใต้จ่ายดอกเบี้ยให้กับเจ้าหนี้ซึ่งอยู่ซีกโลกเหนือรวมแล้วมากกว่า 3.3 ล้านล้านดอลลาร์

รายงานของอ๊อกซ์แฟม ระบุถึงประวัติศาสตร์ที่ตกค้างจากการล่าอาณานิคม และการหาประโยชน์โดยมิชอบว่า ยังส่งผลเป็นมรดกตกทอดกลายมาเป็นความเหลื่อมล้ำในปัจจุบัน  มีงานวิจัยเผยว่า ค่าแรงของคนซีกโลกใต้ต่ำกว่าค่าแรงของคนซีกโลกเหนือถึงร้อยละ 87 ถึง 95 ในการทำงานที่ใช้ทักษะฝีมือเท่ากัน ขณะที่ร้อยละ 90 ของเศรษฐกิจโลกขับเคลื่อนด้วยแรงงานจากประเทศรายได้ปานกลางและรายได้ต่ำ แต่ประเทศเหล่านี้กลับได้รับเพียงรายได้เพียงร้อยละ 21 ของรายได้ทั้งโลก

อ็อกซ์แฟมเรียกร้องให้รัฐบาลประเทศต่างๆ มีปฏิบัติการเร่งด่วนเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและยุติความร่ำรวยสุดขั้วนี้ ด้วยการเก็บภาษีคนที่รวยที่สุดและมั่งคั่งที่สุด และเสนอให้องค์การสหประชาชาติกำหนดอนุสัญญาภาษีโลกเพื่อทำให้คนที่รวยที่สุดและบรรษัทต่างๆ ต้องจ่ายเงินส่วนแบ่งที่เป็นธรรม และต้องยกเลิกดินแดนปราศจากภาษี หรือ Tax Haven

การวิเคราะห์ของอ็อกซ์แฟม เผยว่า ครึ่งหนึ่งของอภิมหาเศรษฐีอาศัยอยู่ในประเทศที่ไม่มีภาษีมรดก ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการรื้อถอนไม่ให้เกิดอภิสิทธิชนกลุ่มใหม่

อ็อกซ์แฟมยังเสนอให้ยกเลิกหนี้และยุติการครอบงำโดยประเทศร่ำรวย เพื่อหยุดการไหลของเงินจากซีกโลกใต้ไปยังซีกโลกเหนือ รวมถึงการครอบงำของบรรษัทที่มีต่อตลาดเงินและระเบียบการค้า ซึ่งจะเป็นการทลายการผูกขาด และเสนอให้ปรับเปลี่ยนกติกาเรื่องสิทธิบัตรให้มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ออกข้อบังคับให้บริษัทขนาดใหญ่ต้องจ่ายค่าแรงให้เพียงพอกับค่าครองชีพและจำกัดการจ่ายเงินผู้บริหาร เข้มงวดกับอำนาจการโหวตเลือกตัวแทนในองค์กรระหว่างประเทศ อย่าง ธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เพื่อรับประกันการได้ผู้แทนในสัดส่วนที่เป็นธรรมจากประเทศซีกโลกใต้

นอกจากนี้ ยังเสนอให้อดีตประเทศเจ้าอาณานิคม แถลงกล่าวคำขอโทษอย่างเป็นทางการ และจ่ายเงินชดเชยต่อชุมชนที่เคยได้รับผลกระทบจากการล่าอาณานิคม

“ขณะที่ทุกประเทศมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้เงินลงทุนไปกับครู การซื้อเวชภัณฑ์ และการสร้างงานที่ดี แต่เงินกลับถูกย้ายไปยังบัญชีธนาคารของคนอภิมหารวย นี่ไม่ใช่แค่เป็นสิ่งที่เลวร้ายกับเศรษฐกิจ แต่มันยังเลวร้ายกับมนุษยชาติด้วย” อมิตาบห์ บีฮาร์กล่าว

 

ที่มา
Takers not Makers: The unjust poverty and unearned wealth from colonialism