มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของบริษัทเทคโนโลยี เฟซบุ๊ก (Facebook) ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น เมตา (Meta) ในความพยายามส่งเสริมเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน หรือ Virtual Reality แห่งอนาคต ภายใต้คอนเซปต์ที่เรียกว่า เมตาเวอร์ส (metaverse)
ซักเคอร์เบิร์ก อธิบายว่า เมตาเวอร์ส คือ "สิ่งแวดล้อมเสมือน" ที่เชื่อมโยงชุมชนเสมือนจริงต่าง ๆ เข้าด้วยกัน โดยผู้ใช้สามารถพบปะกัน ทำงาน เล่น ซื้อของออนไลน์ หรือเข้าสื่อสังคมออนไลน์ ผ่านเทคโนโลยีเสมือนจริง (Virtual Reality) และเทคโนโลยีเสริมจริง (Augmented Reality) รวมทั้งแอปฯ ในโทรศัพท์มือถือ หรืออุปกรณ์อื่น ๆ
ซีอีโอของเฟซบุ๊ก กล่าวว่า ชื่อ "Facebook" นั้นมิได้สะท้อนให้เห็นถึงทุกอย่างที่ทางบริษัทกำลังทำอยู่อีกต่อไป ซึ่งนอกเหนือจากสื่อสังคมออนไลน์แล้ว เฟซบุ๊กยังมีธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์สำหรับเทคโนโลยีเสมือนจริงต่างๆ ที่เชื่อมต่อผู้คนเข้าด้วยกัน
ภายใต้การเปลี่ยนชื่อใหม่นี้ สื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ ของบริษัท รวมทั้ง เฟซบุ๊ก วอทส์แอป (WhatsApp) และอินสตาแกรม (Instagram) จะยังคงใช้ชื่อเดิมต่อไป เช่นเดียวกับโครงสร้างขององค์กรที่จะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่สัญลักษณ์ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์จะเปลี่ยนเป็น "MVRS" ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมเป็นต้นไป
มาร์ก พูดถึงการมุ่งหน้าสู่เมตาเวอร์สตั้งแต่เมื่อเดือนกรกฎาคม และบริษัทแห่งนี้ยังได้ลงทุนพัฒนาเทคโนโลยี VR และ AR อย่างมาก โดยได้เปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ๆ เช่น หูฟัง Oculus VR ออกมา พร้อมกับเร่งออกแบบอุปกรณ์แว่นตา และสายรัดข้อมือ AR อยู่ด้วย
และเมื่อวันจันทร์ที่ (25 ต.ค.) ผ่านมา เฟซบุ๊ก ซึ่งมีบริษัทลูกที่นำเสนอแพลตฟอร์มเทคโนโลยีอื่นๆ ในสังกัดมากมาย เช่น วอทส์แอป และ อินสตาแกรม เพิ่งประกาศแผนจ้างงานเพิ่ม 10,000 ตำแหน่งในสหภาพยุโรป เพื่อสร้าง metaverse อันเป็นแผนงานที่ ซักเคอร์เบิร์ก ออกมาโปรโมทด้วยตนเอง
ซักเคอร์เบิร์ก กล่าวว่า เมตาเวอร์สจะสามารถไปถึงผู้คนราว 1,000 ล้านคนภายในทศวรรษหน้า ซึ่งเชื่อว่าจะกลายเป็น "ระบบนิเวศน์ใหม่" ที่ช่วยสร้างงานด้านเทคโนโลยีได้หลายล้านตำแหน่งในอนาคต
อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์บางคนชี้ว่า การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้อาจเป็นความพยายามของเฟซบุ๊กในการ "เบี่ยงประเด็น" จากรายงาน Facebook Papers ซึ่งเป็นเอกสารหลายพันหน้าเกี่ยวกับการทำธุรกิจของสื่อสังคมออนไลน์นี้ที่ถูกรวบรวมจากคนภายในองค์กรและสื่อต่างๆ ในสหรัฐฯ ชี้ถึงความขัดแย้งในบริษัทเและปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นต่อการใช้งานของเฟซบุ๊กซึ่งมีผู้ใช้ราวสามพันล้านคนทั่วโลก
อดีตพนักงานของเฟซบุ๊ก ฟรานเชส เฮาเกน เปิดเผยว่า ข้อมูลส่วนหนึ่งของเอกสารดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า เฟซบุ๊กเพิกเฉยหรือลดความสำคัญของคำเตือนเรื่องผลกระทบทางลบจากสื่อสังคมออนไลน์นี้ต่อกลุ่มคนบางกลุ่ม โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นหญิง
ลอร่า รีส ที่ปรึกษาด้านการตลาด เปรียบเทียบการเปลี่ยนชื่อของเฟซบุ๊กในครั้งนี้ว่าเหมือนกับที่บริษัทพลังงาน BR พยายามปรับชื่อบริษัทเป็น "Beyond Petroleum" เพื่อหนีจากการถูกวิจารณ์ว่าเป็นตัวการทำลายสิ่งแวดล้อม
ที่มา : เฟสบุ๊คเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น "เมตา" เน้นส่งเสริมเทคโนโลยีโลกเสมือน