Skip to main content

รายงานระบุว่าตำรวจได้ส่งจดหมายไปยังกลุ่มแนวร่วมฮ่องกงสนับสนุนขบวนการประชาธิปไตยรักชาติของจีน (Hong Kong Alliance in Support of Patriotic Democratic Movements of China) ขอให้ส่งข้อมูลเกี่ยวกับสมาชิก รายงานด้านการเงินและกิจกรรมของกลุ่มให้กับเจ้าหน้าที่ภายในวันที่ 7 ก.ย.นี้ โดยทางกลุ่มยังเผยว่าจดหมายลักษณะเดียวกันนี้ยังถูกส่งไปให้กับสมาชิกและอีกหลายสมาคมที่เป็นสมาชิกของแนวร่วมอีกด้วย ซึ่งในจดหมายกล่าวหาว่าแนวร่วมดังกล่าวเป็น “สายลับกองกำลังต่างชาติ” และหากไม่ส่งข้อมูลตามที่ร้องขอให้กับตำรวจภายในกำหนด ก็จะมีโทษปรับเป็นเงิน 100,000 ดอลลาร์ฮ่องกงและจำคุก 6 เดือน

เว็บไซต์หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ของฮ่องกงรายงานอ้างอิงโฆษกสำนักงานตำรวจที่ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ได้ใช้อำนาจภายใต้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติแต่ปฏิเสธให้รายละเอียดเพิ่มเติมต่อกรณีนี้

อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์ดังกล่าวยังก็รายงานอ้างอิงแหล่งข่าวในสำนักงานตำรวจที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่ความมั่นคงแห่งชาติกำลังสอบสวนหาความเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มแนวร่วมดังกล่าวกับองค์กรต่างชาติหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงบางองค์กรที่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกาด้วย ขณะที่ 'โจวฮั่งถัง' รองประธานกลุ่มแนวร่วมฮ่องกงสนับสนุนขบวนการประชาธิปไตยรักชาติเผยว่ากำลังขอคำแนะนำด้านกฎหมายว่าจะส่งเอกสารข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้เจ้าหน้าที่หรือไม่ แต่ยืนยันว่าข้อกล่าวหาว่ากลุ่มแนวร่วมเป็นสายลับต่างชาติเป็นเรื่องไร้สาระ

กลุ่มแนวร่วมฮ่องกงสนับสนุนขบวนการประชาธิปไตยรักชาติของจีน เป็นองค์กรสนับสนุนประชาธิปไตยที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2532 สมัยที่ฮ่องกงยังอยู่ภายใต้การปกครองของสหราชอาณาจักร โดยกลุ่มแนวร่วมนี้ถือเป็นผู้จัดงานหลักในการจัดงานรำลึกเหตุปราบปรามที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในกรุงปักกิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2532 โดยในงานรำลึกแต่ละปีที่จัดในฮ่องกงมักจะมีประชาชนหลายพันคนมารวมตัวกันจุดเทียนรำลึกถึงผู้เรียกร้องประชาธิปไตยที่ถูกทางการจีนปราบปรามนองเลือดในเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทางกลุ่มแนวร่วมฯ ไม่สามารถจัดงานรำลึกได้เนื่องจากตำรวจฮ่องกงไม่อนุญาตโดยอ้างเหตุผลความปลอดภัยด้านสุขภาพจากการระบาดของโควิด-19 ขณะที่ 'อัลเบิร์ต โฮ' และ 'เหลยเฉิกหยั่น' ซึ่งเป็นผู้นำของกลุ่มแนวร่วมฯ ได้ถูกตัดสินจำคุกแล้วจากการร่วมประท้วงต้านรัฐบาลเมื่อปี 2562

นี่ถือเป็นเหตุการณ์ล่าสุดที่ฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยในฮ่องกงตกเป็นเป้าสอบสวนจากรัฐนับตั้งแต่รัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ได้บังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งกฎหมายนี้ห้ามการกระทำที่เป็นการแยกตัวเป็นอิสระ บ่อนทำลาย ก่อการร้ายและสมรู้ร่วมคิดกับกองกำลังต่างชาติ โดยนับตั้งแต่กฎหมายนี้ถูกบังคับใช้ก็ทำให้นักการเมืองฝ่ายค้านและนักกิจกรรมจำนวนมากถูกจับกุมคุมขังหรือต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ และยังทำให้กลุ่มภาคประชาสังคมหลายแห่งต้องสลายตัว ซึ่งหลายฝ่ายมองว่ากฎหมายความมั่นคงแห่งชาติถูกใช้เป็นเครื่องมือปราบปรามผู้เห็นต่าง แต่ทั้งรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่และทางการฮ่องกงปฏิเสธข้อกล่าวหานี้