สรุป
- วิโรจน์ ก้าวไกล ตั้งสมมติฐาน การเสียชีวิตของผู้ติดเชื้ออาจเกิดจากการ 4 รอคอย คือ รอคิวตรวจ, รอผลตรวจ, รอเตียง และรอยา
- ชี้โรคโควิด-19 เป็นโรคที่ต้องแข่งกับเวลา ถ้าได้ยาฟาวิพิราเวียร์ตั้งแต่อาการไม่หนัก โอกาสรอดสูง ถ้าได้ยาช้า หลังปอดอักเสบไปแล้ว โอกาสรอดจะเหลือน้อยลง อย่าปล่อยให้ผู้ติดเชื้อต้องเสียชีวิตเพราะการรอคอย
- สมเกียรติ ส.ส.กทม. ก้าวไกล ทวงถามมาตรการชดเชยผู้ประกอบการ หลังมีประกาศในพื้นที่ 6 จังหวัดสีแดงเข้ม งดนั่งกินในร้านแต่ให้ซื้ออาหารกลับบ้านเท่านั้น ชี้มาตรการนี้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการที่กำลังฟื้นตัว เพราะปัจจุบันรัฐยังเยียวยาไม่ทั่วถึง
- ขอรัฐปฏิบัติต่อประชาชนอย่างถ้วนหน้าและเท่าเทียม โดยเฉพาะการจัดการด้านสาธารณสุข ย้ำแนวทางการแก้ปัญหาระยะยาวคือ การมีวัคซีนที่มีคุณภาพให้ประชาชนอย่างทั่วถึง
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล ตั้งข้อสังเกตต่อกรณีการแถลงของ ศบค. แถลงเมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2664 ที่ระบุว่า พบข้อมูลระยะเวลาวันที่ทราบผลติดเชื้อจนถึงเสียชีวิตค่าเฉลี่ย 3 วัน จึงอาจทำให้ตีความได้ว่า การระบาดของเชื้อโควิด-19 รอบนี้ รุนแรงมาก เพราะติดเชื้อเพียงแค่ 3 วัน ก็เสียชีวิตแล้ว จากข่าวบางรายเสียชีวิตในวันที่ทราบผลตรวจ บางรายเสียชีวิตก่อนที่ผลตรวจจะออกก็มี อย่างไรก็ตาม วิโรจน์ชี้ว่า ระยะเวลา 3 วัน ดังกล่าวเริ่มนับจาก 'วันที่ทราบผลติดเชื้อ' จึงมีสมมติฐานที่สามารถคิดได้อีกมิติหนึ่งคือ การเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อ อาจจะเกิดขึ้นจาก 'การรอคอย' ก็ได้ ซึ่งการรอคอย อาจจะเกิดขึ้นในกระบวนการ 4 รอ ได้แก่
• หนึ่งรอคิวตรวจ ซึ่งมีรายงานข่าวปรากฎว่า มีผู้ติดเชื้อที่ต้องรอคิวตรวจจนต้องเสียชีวิตหรือกว่าจะมาพบแพทย์ ผู้ติดเชื้ออาจจะมีอาการหนักแล้ว
• สองรอผลตรวจ เนื่องจากมีการตรวจ RT-PCR เป็นจำนวนมาก ทำให้กว่าจะออกผลตรวจได้ อาจจะต้องใช้ระยะเวลานานกว่าปกติ
• สามรอเตียง ทั้งที่ทราบผลตรวจแล้วแต่ยังต้องรอเตียงว่าง ระหว่างที่รอจากเดิมที่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อย ก็อาจลุกลามจนเชื้อไวรัสลงปอด และมีอาการหนักขึ้น
• สี่รอยา ในกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้สูงอายุหรือมีน้ำหนักตัวมาก หรือมีโรคประจำตัว ระหว่างรอเตียงหรือได้เตียงแล้ว ระหว่างที่ยังไม่มีอาการหรือมีอาการน้อย หากได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) เร็วภายใต้การวินิจฉัยของแพทย์ ก็จะสามารถสกัดการรุกลามได้ แต่หากกระบวนการจ่ายยาช้า ต้องรอให้มีอาการก่อน ก็อาจจะทำให้ไม่สามารถสกัดการลุกลามได้ พออาการหนักขึ้น โอกาสการเสียชีวิต ก็มีเพิ่มขึ้น
"ผมคิดว่ากระทรวงสาธารณสุขควรเอากรณีการเสียชีวิตที่เกิดขึ้น มาวิเคราะห์ว่าในกระบวนการรักษาผู้ป่วย นั้นมีระยะเวลาในการรอคอย หรือ Idle Time เท่าไหร่ และสามาถลดขั้นตอนการทำงาน ลดงานเอกสาร ลดงานธุรการ ลดการบันทึกข้อมูลซ้ำซ้อน ลดหลักฐานเอกสารที่ใช้ แก้ไขกฎระเบียบที่วุ่นวาย เพื่อทำให้ขั้นตอนต่างๆ มีระยะเวลาในการรอคอยที่ลดลงได้หรือไม่ ในแวดวงวิศวกรรม วิศวกรในกระบวนการผลิตต่างทราบดีว่า Idle Time เป็นความสูญเปล่า หรือในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า Muda เป็นกระบวนการที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่าและมีต้นทุนเกิดขึ้นโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีนี้ คือ กระบวนการในการรักษาชีวิตคน ซึ่งเป็นต้นทุนที่มีมูลค่ามหาศาล ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการลดการรอคอยให้เหลือน้อยที่สุด"
ต้นทุนที่ถูกคือการฉีดวัคซีนไม่ให้ประชาชนเจ็บป่วย
วิโรจน์ ยังชี้ต่อไปว่า ความจริงต้นทุนที่ถูกที่สุดก็คือ การฉีดวัคซีนไม่ให้ประชาชนต้องเจ็บป่วย ต้นทุนหากฉีดแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) 2 โดส ก็อยู่ที่ 302 บาท ถ้าเป็นซิโนแวค (Sinovac) 2 โดส ก็อยู่ที่ 1,098 บาท ถ้าเป็นไฟเซอร์ (Pfizer) 2 โดส ก็อยู่ที่ 1,181 บาท ถ้าเป็นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (Johnson & Johnson) ฉีดแค่โดสเดียว ราคาอยู่ที่ 302 บาท แต่ต้นทุนในการรักษาแพงกว่ามาก อย่างค่าตรวจ RT-PCR เคสละ 1,600 บาท ยาฟาวิพิราเวียร์ เม็ดละประมาณ 125 บาท ผู้ติดเชื้อ 1 คน ต้องใช้ยาประมาณ 40-70 เม็ด ต่อรายก็มีต้นทุนสูงถึง 5,000-8,750 บาท หากผู้ติดเชื้อมีอาการหนักต้องเข้าห้องไอซียู (ICU) อย่างสถาบันบำราศนราดูร ก็มีต้นทุนเพิ่มอีกวันละ 1,000 บาท ยังไม่นับค่าใช้จ่ายอื่นๆ
"ต้นทุนที่แพงที่สุดก็คือ การเสียชีวิตของผู้ป่วย ที่ทำให้เด็กหลายๆ คนต้องเป็นเด็กกำพร้า คู่ชีวิตอีกเป็นจำนวนมากต้องเป็นหม้าย พ่อแม่หลายคู่ที่ต้องอยู่ในสภาพคนหัวหงอกต้องมาเผาคนหัวดำ ความสูญเสียชีวิต ถือได้ว่าเป็นการสูญเสียที่มีมูลค่ามากมายมหาศาลมาก โรคโควิด-19 เป็นโรคที่แข่งกับเวลา ถ้าได้ยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ตั้งแต่อาการยังไม่หนัก โอกาสรอดก็สูง ถ้าได้ยาช้า หลังจากที่ปอดอักเสบหนักมากแล้ว โอกาสรอดชีวิตก็จะเหลือน้อยลง อย่าปล่อยให้ผู้ติดเชื้อต้องเสียชีวิต เพราะการรอคอย ไม่ว่าจะเป็น รอคิวตรวจ รอผลตรวจ รอเตียง หรือ รอยา เพราะการรอต่างๆ เหล่านี้ ผู้ติดเชื้ออาจกำลัง 'รอความตาย' อยู่ก็ได้" วิโรจน์ ระบุ
ส.ส.บางนา - พระโขนง ก้าวไกล ทวงถามมาตรการชดเชยผู้ประกอบการ
สมเกียรติ ถนอมสินธุ์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร เขต 21 บางนา - พระโขนง พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีหลังจากศูนย์บริหารสถานการณ์การเเพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ยกระดับมาตรการควบคุมสถานการณ์พื้นที่ 6 จังหวัด ประกอบด้วย นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ชลบุรี เชียงใหม่ เเละกรุงเทพมหานคร เป็นพื้นควบคุมเข้มงวดสูงสุด (สีเเดงเข้ม) โดยมีมาตรการสำคัญ คือ งดนั่งรับประทานอาหารในร้าน โดยให้ผู้บริโภคสามารถซื้อกลับไปทานที่บ้านได้เท่านั้น และสามารถเปิดให้บริการได้จนถึงเวลา 21.00 น.
สมเกียรติ กล่าวว่า จากมาตรการของรัฐที่ออกมาตนพอเข้าใจได้ว่าเป็นการควบคุมโรค เเต่ก็ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตเเละปากท้องของพี่น้องประชาชนด้วย ที่สำคัญคือผู้ประกอบการร้านอาหารหลายราย กำลังจะฟื้นลืมตาอ้าปาก แต่กลับต้องมาชะงักด้วยพิษเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบมาตั้งแต่การระบาดของโควิด ครั้งเเรก ต่อเนื่องมาครั้งที่สอง เเละในปัจจุบันที่รัฐยังไม่สามารถเยียวยาได้อย่างทั่วถึง อีกทั้งมาตรการการบริงานด้านสาธารณสุข รัฐเองก็ควรเตรียมความพร้อมเเละรับมือให้ดีกว่านี้ เพื่อแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นอย่างทันท่วงที
"อยากให้รัฐปฏิบัติต่อประชาชนอย่างถ้วนหน้าเเละเท่าเทียม โดยเฉพาะการจัดการด้านสาธารณสุข ปัจจุบันในหลายพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร แม้กระทั่งเขตบางนา - พระโขนง ที่ถือว่าเป็นพื้นที่เศรษฐกิจเวลานี้เตียงพยาบาลสำหรับรองรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ไม่เพียงพอ เป็นปัญหาที่รัฐจะต้องเร่งจัดการโดยด่วน ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดบาดแผลตกย้ำความล้มเหลวของรัฐบาลซ้ำเเล้วซ้ำเล่า อย่างกรณี อาม่า 3 คน ติดโควิดไม่ได้รับการรักษาเเละเยียวยาจากรัฐ จนเป็นเหตุให้ต้องเสียชีวิตไป 1 คน เป็นบาดเเผลครั้งสำคัญที่รัฐจะต้องตระหนักว่าชีวิตของประชาชนรอไม่ได้ ความเป็นความตายมีค่าทุกนาที จะต้องไม่มีศพประชาชนที่ต้องสังเวยเพราะการบริหารงานของรัฐบาลที่ล้มเหลว" สมเกียรติ กล่าว
ฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างทั่วถึง คือกุญแจสำคัญช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ สมเกียรติ กล่าวต่อไปว่า แนวทางในการแก้ปัญหาในระยะยาว คือ การมีวัคซีนที่มีคุณภาพให้ประชาชนอย่างทั่วถึง เป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ รวมไปถึงแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชน ซึ่งจะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับประชาชน เเละให้เขามีคณภาพชีวิตที่ดี
"ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผมขอเป็นตัวเเทนของประชาชนทวงไปยังรัฐบาลให้เร่งหามาตรการเยียวยาจากผลกระทบที่ได้รับ แม้ว่าการควบคุมโรคจะสำคัญ เเต่ปากท้องคุณภาพชีวิตประชาชนก็สำคัญซึ่งรัฐต้องคำนึงถึงทั้งสองเรื่องนี้ไปพร้อมกันด้วย" สมเกียรติ กล่าวทิ้งท้าย