Skip to main content

เว็บไซต์ CNBC รายงานว่า การประชุม Forbes Global CEO Conference ที่สิงคโปร์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (26 ก.ย.) ลอว์เรนซ์ หว่อง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสิงคโปร์ กล่าวว่า ยุคทองของโลกาภิวัฒน์สิ้นสุดแล้ว การเปลี่ยนแปลงรากฐานการทำงานของโลกกำลังดำเนินไป มีหลายประเทศยังไม่มีระบบป้องกันอย่างเต็มที่ แต่ธุรกิจต่างๆ ได้รับผลกระทบมากขึ้นจากความตึงเครียดทางการเมือง ซึ่งหว่อง เน้นความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีนโดยเฉพาะ

รองนายกฯ สิงคโปร์กล่าวว่า สิงคโปร์และประเทศในอาเซียนต้องการความสัมพันธ์ที่สมดุลจากทั้งสหรัฐฯ และจีน และต้องการให้ทั้งสองประเทศมีส่วนร่วมในภูมิภาคนี้ด้วยผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าผ่านความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน

หว่อง กล่าวอีกว่า แต่ก่อนจะมีความคิดว่า ประเทศต่างๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นเพื่อนกันเพื่อทำธุรกิจ แต่ความจริงแล้ว ยิ่งเราค้าขายและลงทุนซึ่งกันและกันมากขึ้น เราก็จะลดการแข่งขันทางภูมิศาสตร์ลง แต่เรากำลังเข้าสู่ยุคใหม่ ยุคที่การแข่งขันทางภูมิศาสตร์ที่เพิ่มมากขึ้น หากไม่มีการพัฒนา ก็จะเป็นอันตรายต่อโลกมากขึ้น

และสิงคโปร์นั้นยังทำงานร่วมกับทั้งสหรัฐฯ และจีนต่อโดยไม่เลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง พร้อมให้การสนับสนุนในความเป็นไปได้ที่ผู้นำของสองประเทศนี้จะได้ประชุมหารือกัน เพราะการพบกับแบบตัวต่อตัว จะสามารถสร้างวิธีการใหม่ๆ ระหว่างทั้งสองประเทศนี้ และโลกใบนี้ใหญ่พอสำหรับจีนและสหรัฐฯ ทั้งสองประเทศไม่จำเป็นต้องกำหนดความสัมพันธ์ของพวกเขาให้เป็นปฏิปักษ์กัน

นอกจากนี้ รองนายกฯ สิงคโปร์ยังเตือนถึงผลกระทบในความสัมพันธ์นี้อาจมีต่อการรับรู้ของคนรุ่นใหม่ในสหรัฐฯ และจีนได้ หากสื่อสารระหว่างกันไม่ดีพอ อาจทำให้ต่างคนต่างมองอีกฝ่ายเป็นคนไม่ดีไปเลยก็ได้ ซึ่งตอนนี้ทั้งสองประเทศกำลังทำแบบนั้นอยู่ และอาจเป็นปัญหาต่อไปอีก ไม่ว่าจะ 50 หรือ 30 ปี 

รายงานยังบอกอีกว่า ผู้นำธุรกิจที่เข้าร่วมประชุมครั้งนี้เห็นด้วยว่า ความแตกแยกที่กว้างขึ้นระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ไม่เป็นผลดีต่อธุรกิจ 

สอดคล้องไปกับประธานบริษัทจัดการกองทุนที่จดทะเบียนในฮ่องกง ซึ่งเข้าร่วมการประชุมที่ระบุว่า เมื่อมองมาจากอีกด้าน จะพบว่า คนจีนรุ่นที่เกิดมาล่าสุด หลายคนมีความคิดและวิถีชีวิตแบบอเมริกัน ซึ่งเป็นเรื่องน่าตกใจสำหรับชาวจีนในยุคที่สหรัฐฯ ปฏิเสธและแบ่งแยกเชื้อชาติแบบนี้ 

นายลอเรนซ์ หว่อง กล่าวเสริมว่า แม้การมีส่วนร่วมในเชิงบวกไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างสองประเทศ แต่การทำงานร่วมกันจะเป็นประโยชน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงประเด็นต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการตอบสนองต่อการระบาดใหญ่

ขณะที่นายเอง โก๊ะ ซง (Ng Kok Song) ประธานผู้ก่อตั้ง Avanda Investment Management อดีตหัวหน้าเจ้าหน้าที่การลงทุนที่ GIC ของสิงคโปร์กล่าวว่าสหรัฐฯ และจีนได้รับประโยชน์จากการมีความสัมพันธ์ทางการเงินซึ่งกันและกัน และจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ดัชนี S&P 500 บริษัทในสหรัฐฯ ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของจีนทั้งในด้านรายได้และขนาด ด้าน จอห์น สตัดซินสกี (John Studzinski) รองประธานและกรรมการผู้จัดการของ Pimco บริษัทจัดการด้านการลงทุนของสหรัฐฯ กล่าวว่า ชาวจีนต้อนรับเงินทุนและสถาบันการเงินระหว่างประเทศเข้าสู่ตลาดของตนด้วย