Skip to main content

 

กระทรวงแรงงานของไต้หวัน เสนอแก้ไขกฎหมายประกันการจ้างงาน เพื่อขยายการคุ้มครองและเสริมความมั่นคงในการทำงานให้กับ “แรงงานวัยกลางคน” และ “แรงงานผู้สูงอายุ” ในการรับมือกับสังคมสูงวัยและภาวะขาดแคลนแรงงานที่กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น

ข้อเสนอดังกล่าว เป็นการขยายความคุ้มครองแรงงานวัยกลางคนและแรงงานสูงอายุใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ การเปิดให้คนทำงานที่อายุ 65 ปีขึ้นไป สามารถเข้าร่วมประกันการจ้างงาน, การเร่งระยะเวลารอรับเงินชดเชยการว่างงานให้เหลือ 7 วัน และการเพิ่มสิทธิ์เงินช่วยเหลือลาคลอดและเลี้ยงดูบุตรในรูปแบบ “6+1 เดือน” ซึ่งมาตรการเหล่านี้สะท้อนความพยายามเชิงรุกในการรักษาแรงงานสูงวัยให้อยู่ในตลาดแรงงานต่อไป ขณะเดียวกันก็สร้างความท้าทายอย่างมากให้กับภาคธุรกิจ จนอาจต้องปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงานภายในองค์กรอย่างจริงจัง

กฎหมายประกันการจ้างงานของไต้หวัน ซึ่งประกาศใช้ตั้งแต่ปี 2003 ให้ความคุ้มครองสำคัญแก่ผู้ประกันตน ทั้งเงินชดเชยการว่างงาน เงินช่วยเหลือลาคลอดและเลี้ยงดูบุตร รวมถึงการคุ้มครองการคลอดบุตร โดยใช้งบจากเงินสมทบของนายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐ แต่การแก้ไขกฎหมายล่าสุดที่กระทรวงแรงงานเสนอ มีเป้าหมายโดยตรงไปที่แรงงานวัยกลางคนและผู้สูงอายุ เพื่อตอบโจทย์ปัญหาขาดแคลนแรงงาน

มาตรการแรก คือ การยกเลิกข้อจำกัดด้านอายุ เปิดทางให้แรงงานอายุมากกว่า 65 ปีที่ยังไม่ได้รับบำนาญ สามารถเข้าร่วมประกันการจ้างงาน และมีสิทธิ์รับเงินชดเชยการว่างงานได้ ซึ่งปัจจุบันกฎหมายคุ้มครองเฉพาะผู้มีอายุระหว่าง 15–65 ปีเท่านั้น กระทรวงแรงงานระบุว่า การเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยจูงใจให้ผู้สูงอายุทำงานต่อ และลดอุปสรรคเรื่องการเลือกปฏิบัติด้านอายุ รวมถึงนโยบายเกษียณอายุที่แข็งตัวในหลายองค์กร

มาตรการถัดมา คือ การลดระยะเวลารอรับเงินชดเชยการว่างงานจาก 14 วันเหลือ 7 วัน โดยอ้างอิงข้อเสนอแนะขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) เพื่อให้ผู้ว่างงานได้รับความช่วยเหลือเร็วขึ้น และบรรเทาภาระทางการเงินในระหว่างการหางานใหม่

มาตรการที่สาม คือ การขยายสิทธิ์เงินช่วยเหลือลาเลี้ยงดูบุตรจากเดิม 6 เดือนต่อคน เป็นรูปแบบ “6+1 เดือน”  เมื่อพ่อและแม่ใช้สิทธิ์ 6 เดือนแรกสำหรับบุตรคนเดียวกันครบทั้งสองฝ่ายแล้ว จะมีสิทธิ์รับเงินช่วยเหลือเพิ่มอีก 1 เดือนในภายหลัง มาตรการนี้มุ่งส่งเสริมให้ครอบครัวที่มีรายได้สองทางแบ่งปันภาระการเลี้ยงดูบุตรร่วมกัน และช่วยรับมือกับอัตราการเกิดที่ลดต่ำลง ซึ่งซ้ำเติมปัญหาการขาดแคลนแรงงาน

หลายบริษัทในไต้หวัน กำหนดอายุเกษียณที่ 65 ปี หรือไม่ก็ไม่ต่อสัญญาจ้าง แต่เมื่อโครงสร้างประชากรเปลี่ยนแปลงไป รัฐบาลจึงชะลอการออกจากตลาดแรงงานและเลื่อนการเกษียณอายุออกไป ควบคู่กับการขยายความคุ้มครองสิทธิแรงงานและการเปิดโอกาสให้แรงงานสูงวัยยังสามารถเลี้ยงดูครอบครัวและมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจได้นานขึ้น เพื่อพยุงเศรษฐกิจในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม มาตรการเหล่านี้ อาจส่งผลให้ภาคธุรกิจต้องปรับตัวอย่างหนัก และทบทวนการจ้างงานผู้มีอายุมากกว่า 65 ปี ซึ่งเตรียมเข้ามาอยู่ภายใต้ระบบประกันการว่างงานแล้ว บริษัทอาจต้องเปิดรับพนักงานตำแหน่งพาร์ตไทม์ หรือมีการจ้างงานแบบเป็นกรณีๆ ไป หรือสรรหาแรงงานสูงวัยจากโครงการฝึกอบรมของรัฐ ขณะที่ผลสำรวจชี้ว่า มีบริษัทเพียงร้อยละ 3 ที่เต็มใจรับสมัครแรงงานวัยกลางคนหรือผู้สูงอายุเข้าทำงาน

รัฐบาลอาจต้องมีมาตรการลดหย่อนภาษีหรือเงินอุดหนุน ในการช่วยแบ่งเบาภาระเรื่องเงินที่ฝ่ายนายจ้างที่ต้องสมทบเข้ากองทุนบำนาญสำหรับแรงงานสูงวัยซึ่งจะมีอัตราที่สูงกว่า และอาจทำให้นายจ้างลังเลใจที่จะจ้างงานผู้สูงอายุ

นอกจากนี้ ผู้บริหารต้องปรับตัวโดยส่งเสริมวัฒนธรรมการยอมรับความหลากหลายในที่ทำงาน และให้คุณค่ากับประสบการณ์ของแรงงานอาวุโส มีการกำหนดชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่น และปรับลักษณะงานให้เหมาะกับสภาพร่างกายของผู้สูงวัย

ส่วนการขยายสิทธิ์ลาคลอดและเลี้ยงดูบุตร บริษัทอาจต้องจัดระบบการส่งต่องาน รวมถึงการจ้างพนักงานชั่วคราว เพื่อการทำงานที่ราบรื่น รวมถึงปรับวัฒนธรรมในที่ทำงานให้เป็นการทำงานของคนหลายช่วงวัย ที่ช่วยให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ประสบการณ์จากแรงงานสูงอายุ ขณะที่แรงงานอาวุโสก็ได้ปรับตัวกับเทคโนโลยีสม้ยใหม่ เพื่อลดความขัดแย้งในองค์กร


ที่มา
Breaking Taiwan's age ceiling