เมื่อราว 70 ปีที่แล้ว นักดาราศาสตร์ซึ่งกำลังทำการสำรวจท้องฟ้ายามค่ำคืนด้วยการถ่ายภาพ พบเหตุการณ์ประหลาดบางอย่างเกิดขึ้น เมื่อดวงดาวที่สว่างไสว 3 ดวงหายไปในระหว่างการถ่ายภาพท้องฟ้าแต่ละครั้ง และดาวทั้งสามดวงก็ไม่เคยถูกพบเห็นอีกเลย
ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ปี 1952 ขณะที่หอดูดาวพาโลมาร์กำลังถ่ายภาพท้องฟ้าในหลายช่วงเวลา เพื่อจับภาพวัตถุ อย่างเช่น ดาวเคราะห์น้อย ในเวลา 20.52 น. ของคืนนั้น กล้องได้บันทึกภาพที่มีจุดแสงคล้ายดาวสามจุดรวมกลุ่มกัน ซึ่งสว่างพอๆ กับดาวดวงอื่นๆ รอบข้าง ทำให้นักดาราศาสตร์เชื่อว่า สิ่งที่เห็นคือดาวฤกษ์
แต่สิ่งที่ทำให้นักดาราศาสตร์ตกตะลึง เมื่อเวลา 21.45 น. ของคืนเดียวกัน หอดูดาวได้ถ่ายภาพบริเวณท้องฟ้าเดียวกันอีกครั้ง "กลุ่มดาว” ที่ปรากฏเมื่อไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านั้น กลับหายไปอย่างสิ้นเชิง และแม้จะมีการค้นหาซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเวลาต่อมา ก็ไม่เคยพบเห็นพวกมันอีกเลย
ตามปกติแล้ว ดวงดาวไม่ควรจะหายไปจากท้องฟ้าโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ หากพวกมันใกล้หมดอายุขัย ก็ควรหรี่แสงและค่อยๆ มืดลง หรือหากเป็นดาวฤกษ์ที่มีมวลมากพอ ก็ควรเกิดการระเบิดขนาดใหญ่เกิดเป็น “ซูเปอร์โนวา” แต่ในความเป็นจริง นักดาราศาสตร์ได้บันทึกกรณีที่ดาวฤกษ์หายไปในชั่วพริบตา โดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าได้อย่างน้อย 800 ครั้ง ตลอดช่วง 70 ปีที่ผ่านมา
ล่าสุด มีงานวิจัยชิ้นใหม่นำโดยนักดาราศาสตร์จาก มหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน ที่อาจช่วยไขปริศนานี้ ตีพิมพ์ในวารสาร Physical Review Letters เสนอว่า มวลอันมหาศาลของดาวเหล่านี้อาจทำให้มันยุบตัวลงโดยตรง และกลายเป็นหลุมดำ โดยกลืนกินหลักฐานทุกอย่างของการดับสูญของดวงดาวให้หายไปในทันที
“หากมีใครยืนมองดาวที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากำลังยุบตัวอย่างสมบูรณ์ ในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด มันอาจให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเห็นดาวดวงหนึ่งดับลงและหายไปจากท้องฟ้า การยุบตัวนั้นสมบูรณ์เสียจนไม่มีการระเบิดใด ๆ เกิดขึ้น ไม่มีสิ่งใดหลุดรอดออกมา และจะไม่มีซูเปอร์โนวาที่สว่างไสวปรากฏบนท้องฟ้ายามค่ำคืน” อเลฮานโดร โกเมซ หนึ่งในทีมวิจัยจากสถาบันนีลส์ บอร์ กล่าว
โดยทั่วไป เมื่อดาวฤกษ์ที่มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ตั้งแต่ 8 เท่าขึ้นไปเกิดตายลง มันจะยุบตัวเกือบในทันทีภายใต้แรงโน้มถ่วงอันมหาศาลของตัวเอง และมักก่อให้เกิดการระเบิดจนาดใหญ่มหึมาที่เรียกว่า ซูเปอร์โนวา ปลดปล่อยพลังงานมากมหาศาลจนส่องสว่างได้ทั่วทั้งดาราจักรของมันเอง และหลงเหลือซากเป็นหลุมดำ หรือดาวนิวตรอนที่มีความหนาแน่นสูงยิ่งยวดเอาไว้
นักวิจัยชี้ว่า แต่ก็เป็นไปได้ว่า ขั้นตอนการระเบิดนี้อาจถูกข้ามไปทั้งหมด ในกรณีที่ดาวมีมวลมากพอ มันอาจยุบตัวลงกลายเป็นหลุมดำโดยตรง หรือเกิดการ “การยุบตัวอย่างสมบูรณ์”
อิรีเน ตัมบอร์รา หนึ่งในทีมวิจัยจากสถาบันนีลส์ บอร์ ระบุว่า ยังจำเป็นต้องมีงานวิจัยเพิ่มเติมเพื่อคลี่คลายปริศนานี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และผลการศึกษานี้จะทำหน้าที่เป็นการตรวจสอบความเป็นจริงที่สำคัญสำหรับแบบจำลองวิวัฒนาการของดาวฤกษ์ และคาดหวังอย่างยิ่งว่า การศึกษานี้จะกลายเป็นจุดอ้างอิงสำคัญสำหรับการวิจัยด้านวิวัฒนาการและการยุบตัวของดาวฤกษ์ในอนาคต
ที่มา
Scientists Attempt to Explain Why Hundreds of Stars Disappeared From Night Sky
Scientists Puzzled by Stars That Disappeared From the Sky