ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เผยผลสำรวจทักษะทางการเงินของคนไทย พบว่า ปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับ 71.4% สะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญความรู้ทางการเงิน เพื่อต่อยอดไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดี
จากข้อมูลของ วิจัยกรุงศรี เกี่ยวกับพฤติกรรมทางการเงินของคนไทยแต่ละช่วงวัย พบสัญญาณที่ดีที่สะท้อนว่าคนไทยให้ความสำคัญกับการมีความรู้ทางการเงิน เพื่อต่อยอดไปสู่การมีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพชีวิตที่ดี
รายงานเรื่อง Saving Behavior Survey: Decoding the Saving Habits of Thai Consumers 2025 ที่รวบรวมข้อมูลโดย วิจัยกรุงศรี ชี้ว่า ทักษะทางการเงินของคนไทยมีพัฒนาการดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 71.4% เพิ่มขึ้นจาก 67.4% ในปี 2563 และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของ ประเทศสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD ซึ่งอยู่ที่ 60.5% โดยประเมินจากองค์ประกอบสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ ด้านความรู้ทางการเงิน ซึ่งมีการปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 69.7% สะท้อนความเข้าใจเรื่องดอกเบี้ยและความเสี่ยงที่ดีขึ้น
ขณะที่ด้านพฤติกรรมทางการเงิน มีคะแนนเพิ่มขึ้น 70.3% จากวินัยในการจัดสรรงบประมาณและมีการออมที่ดี และ ด้านทัศนคติทางการเงิน ยังคงอยู่ในระดับสูงถึง 76.8%
รายงานเผยว่า ครัวเรือนไทยมีการออมเงินบางส่วนจากรายได้ สูงถึง 87.5% โดยส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบที่มีความปลอดภัยสูง เช่น เงินสด หรือ บัญชีเงินฝากเพื่อการออมโดยเฉพาะ โดย 60% มีวินัยทางการเงินที่ดี โดยมีการออมหรือลงทุนอย่างสม่ำเสมอในทุกๆ เดือน และสามารถเก็บเงินได้ 20-30% ของรายได้ต่อเดือน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สอดคล้องกับคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทย
รายงานเผยว่า คนไทยส่วนใหญ่ (ร้อยละ 38) เมื่อมีรายได้เข้ามา จะเลือกที่จะจัดลำดับความสำคัญให้กับการ "ชำระหนี้" ก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งแสดงถึงความตระหนักรู้ในภาระหน้าที่ทางการเงิน ขณะที่ร้อยละ61.1มีแผนทางการเงินเพื่อการเกษียณอายุ และได้เริ่มออมเงินเพื่อเป้าหมายดังกล่าวแล้ว แต่ก็มีเพียงร้อยละ 15.7 เท่านั้นที่สามารถดำเนินการตามแผนได้อย่างครบถ้วนจริง
นอกจากนี้ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ยังเผยถึงความต้องการทางการเงินที่แตกต่างกันของคนไทยแต่ละเจเนอเรชัน ที่ส่งผลทำให้มีพฤติกรรมทางการเงินในปัจจุบันที่แตกต่างกัน โดยพบว่า
Gen Z วัยเริ่มทำงาน (อายุ 20–30 ปี): สร้างตัวเร็ว เน้นสมดุล และมองหาความมั่งคั่งแบบใหม่
คนเจน Z เติบโตมากับความไม่แน่นอนจากวิกฤตโควิดและภัยพิบัติ จึงมีความเข้าใจว่าชีวิตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทำให้เริ่มวางแผนการเงินเร็วขึ้นกว่ารุ่นอื่น โดยตั้งเป้าหมายความสำเร็จทั้งเรื่องงานและชีวิตส่วนตัวไว้ที่อายุประมาณ 53 ปี
คนเจนนี้ ยังเป็นวัยที่หารายได้หลายช่องทางมากที่สุด กว่า 38% มีรายได้ตั้งแต่ 2 แหล่งขึ้นไป และให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุล (Work-Life-Balance) ระหว่างการหาเงินกับการใช้ชีวิตตามไลฟ์สไตล์ให้มีความสุข โดยเน้นสร้างเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน 3-6 เดือน เริ่มลงทุนเพื่อพัฒนาทักษะตัวเอง และวางแผนระยะยาวเพื่อการเกษียณ โดยให้ความสำคัญกับประเด็นความยั่งยืนไปพร้อมกัน
Gen Y - วัยสร้างครอบครัว (อายุ 30–40 ปี): ความหวังของบ้าน ที่ต้องบริหารความมั่นคงรอบด้าน
คนเจน Y ตระหนักถึงบทบาทสำคัญในการดูแลครอบครัว มีการลงทุนสร้างทรัพย์สินเป็นของตัวเองซึ่งมองว่าเป็นการลงทุนในระยะยาว เช่น การซื้อบ้าน รถ โดยมองว่าอายุ 31 ปีควรมีทรัพย์สินเป็นบ้านของตนเอง และตั้งเป้าความก้าวหน้าในอาชีพเพื่อหารายได้ให้เพียงพอ
คนเจน Y ยังเป็นวัยที่เริ่มวางแผนเกษียณอย่างจริงจัง มีความคาดหวังเรื่องเงินใช้หลังเกษียณสูงที่สุดถึง 35,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในทุกช่วงวัย และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของคนไทย โดยเน้นสร้างความมั่นคงให้ครอบครัวผ่านประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ทุนการศึกษาบุตร และเลือกการลงทุนที่ปลอดภัยเพื่อรักษาเงินต้น
Gen X - วัยมั่นคง (อายุ 40–55 ปี): เร่งเครื่องปลดหนี้ วางแผนเกษียณอย่างมืออาชีพ
คนเจน X เป็นช่วงวัยที่ตระหนักถึงการเกษียณอย่างจริงจัง โดย 79% ได้จัดทำแผนการเงินเพื่อการเกษียณเรียบร้อยแล้ว และตั้งใจจะเกษียณที่อายุเฉลี่ย 59 ปี แม้จะเป็น Sandwich Generation ที่ต้องดูแลทั้งลูกและพ่อแม่ ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูง แต่ก็มีวินัยทางการเงินที่ดีขึ้น โดย 30% สามารถเก็บเงินได้ตามแผนที่วางไว้
คนเจน X มุ่งที่จะปลดภาระหนี้สินให้หมด โดยสร้าง Passive Income จากอสังหาริมทรัพย์หรือเงินปันผล และจัดสรรเงินออมถึง 41% ของพอร์ตไว้สำหรับการเกษียณโดยเฉพาะ ผ่านเครื่องมือความเสี่ยงต่ำ เช่น RMF หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
Baby Boomer - วัยอิสระ (อายุ 60 ปีขึ้นไป): Active Aging วัยเกษียณที่ใช้ชีวิตแบบไม่ยอมเกษียณ
คนรุ่นบูมเมอร์ ยังคงมีศักยภาพในการทำงาน ยังไม่หยุดทำงาน โดย 32% ยังมีรายได้หลักจากการทำงานของตนเอง แต่ต้องระมัดระวังการใช้จ่ายเพื่อเตรียมเงินให้พอใช้ยาวนานถึง 20-25 ปี หลังหยุดทำงาน โดย 83% มีการวางแผนการเงินเกษียณไว้ล่วงหน้าแล้ว
คนรุ่นนี้ ให้ความสำคัญสูงสุดกับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและการรักษาเงินต้น (Wealth Preservation) โดยเน้นลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ เช่น เงินฝาก หรือประกันสะสมทรัพย์ เพื่อให้เงินก้อนที่มีอยู่อยู่รอดปลอดภัยตลอดอายุขัย