Skip to main content

 

“ถนน” ถือเป็นพื้นที่ที่อันตรายที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับสัตว์ป่า มีงานวิจัยที่พบว่า “การถูกรถชน” เป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆ ของสัตว์ป่าทั่วโลก ในบางกรณีที่รุนแรง ถนนสามารถคร่าชีวิตสัตว์ได้มากถึงครึ่งหนึ่งของประชากรภายในปีเดียว

งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Biological Reviews เผยว่า สัตว์จำนวนมากตอบสนองต่อถนน โดยการปรับเปลี่ยนเส้นทางการเคลื่อนที่ รวมถึงเปลี่ยนแหล่งหาอาหาร และช่วงเวลาที่ออกหากิน โดยมองถนนเป็น “พื้นที่อันตราย” มากกว่าจะเป็นพื้นที่ว่างเปล่า

ผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Mammalogy ซึ่งการติดตามการเคลื่อนที่ของ “แร็กคูน” ใน “ฟอเรสต์พาร์ค” สวนสาธารณะขนาดใหญ่กลางเมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี เพื่อศึกษาว่า สัตว์ป่าในเมืองประเมินความเสี่ยงกับผลตอบแทนที่ได้รับอย่างไร และโครงสร้างพื้นฐานของมนุษย์ สามารถกำหนดพฤติกรรมของสัตว์อย่างไร

“แร็กคูน” ซึ่งมักถูกมองว่า เป็นสัตว์จอมฉวยโอกาสที่ไม่ค่อยมีความกลัว และสามารถใช้ชีวิตได้ดีในทุกที่ที่มีอาหารที่มนุษย์ทิ้งเอาไว้ แต่งานวิจัยใหม่ชิ้นนี้ พบว่า แร็กคูนในฟอเรสต์พาร์คหลีกเลี่ยงการข้ามถนนเสมอ แม้ว่าตลอดแนวถนนฝั่งตรงข้ามสวนจะมีถังขยะ ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่เข้าถึงได้ง่ายเรียงรายอยู่ก็ตาม

ในการศึกษาเส้นทางการเคลื่อนที่ของแร็กคูน นักวิจัยทำการติดปลอกคอที่มีจีพีเอสให้กับแร็กคูน 10 ตัวที่อาศัยอยู่ในฟอเรสต์พาร์ค ปลอกคอแต่ละอันจะมีเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวที่บันทึกการเคลื่อนไหวในสามมิติ ทำให้ทีมนักวิจัยรู้ว่าพวกมันไปที่ไหนมาบ้าง และรู้ว่า แร็กคูนเคลื่อนไหวมากน้อยเพียงใดตลอดทั้งตอนกลางวันและกลางคืน และติดตามพวกมันตั้งแต่ปี 2021 จนถึงปี 2024

ฟอเรสต์พาร์ค มีขนาดราว 3,355 ไร่ เป็นพื้นที่ผสมผสานระหว่างป่าธรรมชาติกับพื้นที่ใช้งานของมนุษย์ จึงมีทั้งถนน ลานจอดรถ พิพิธภัณฑ์ และสนามกีฬา นักวิจัยพบว่า แร็กคูนส่วนใหญ่แทบไม่ออกไปนอกขอบเขตของฟอเรสต์พาร์คเลย และมีพื้นที่หากินค่อนข้างเล็ก มีแร็กคูนเพียงตัวเดียวที่ออกไปนอกสวนเป็นประจำ ส่วนใหญ่ไปคุ้ยหาอาหารจากถังขยะนอกพื้นที่

นักวิจัยพบรูปแบบหนึ่งที่ชัดเจน คือ แทนที่แร็กคูนจะเคลื่อนที่อย่างอิสระไปทั่วภูมิประเทศ พวกมันกลับข้ามถนนน้อยกว่าที่คาดไว้อย่างมาก แร็กคูนปฏิบัติต่อถนนราวกับเป็นกำแพงที่มองไม่เห็น แม้จะมีอาหารในถังขยะที่วางเรียงรายอยู่ตามแนวถนนฝั่งตรงข้าม แต่พวกมันดูจะลังเลที่จะข้ามไป พวกมันปรับเส้นทางและขอบเขตพื้นที่อาศัยของตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงถนน แสดงให้เห็นว่า ความเสี่ยงจากการจราจร เสียงที่ดัง และการปรากฏตัวต่อมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่แร็กคูนให้ความสำคัญมากกว่าอาหารในถังขยะที่เข้าถึงได้ง่าย ผลลัพธ์นี้ท้าทายสมมติฐานที่ว่า สัตว์ที่ปรับตัวเข้ากับเมืองได้ดี มักจะไม่ใส่ใจกับโครงสร้างพื้นฐานของมนุษย์

นอกจากการทำแผนที่เส้นทางแล้ว ข้อมูลจากเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวยังช่วยทำให้เห็นชัดขึ้นว่า แร็กคูนปรับพฤติกรรมอย่างไรเพื่อตอบสนองกับสภาพแวดล้อมของเมือง นักวิจัยพบว่า พวกมันเคลื่อนไหวมากที่สุดในเวลากลางคืน โดยจุดสูงสุดของกิจกรรมในช่วงหัวค่ำและตอนย่ำรุ่ง

นอกจากนี้ นักวิจัยพบว่า แร็กคูนจะเคลื่อนไหวมากขึ้นในวันที่อากาศอุ่น และมีระดับกิจกรรมโดยรวมเพิ่มขึ้นเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น และในฤดูร้อนที่ช่วงกลางคืนสั้น แร็กคูนจะเร่งการเคลื่อนไหวมากขึ้นในแต่ละชั่วโมงในความมืด เพื่อชดเชยจังหวะชีวิตให้ทันเวลา ส่วนในฤดูหนาวที่กลางคืนยาวนานขึ้น พวกมันจะมีกิจกรรมในตอนกลางคืนที่มากขึ้นด้วย แต่มีการเคลื่อนไหวต่อชั่วโมงที่ลดลง

พฤติกรรมของแร็กคูนในสวนสาธารณะฟอเรสต์พาร์ค ชี้ให้เห็นว่า แม้แต่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ปรับตัวเก่งอย่างแร็กคูนก็ยังมี “เส้นแบ่งที่ชัดเจน” เมื่อต้องเผชิญอันตราย และเส้นแบ่งเหล่านี้อาจกำหนดชะตาการอยู่รอดของสัตว์ป่าในเมืองได้เลย


ที่มา
Raccoons Have Hidden Rules to Navigate Cities, and Refuse to Cross Roads, Even for Easy Meals