งานวิจัยขนาดใหญ่ชิ้นใหม่ ที่ศึกษา “ผลกระทบของระยะเวลาที่อยู่กับหน้าจอที่มีต่อการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระดับประถมศึกษา” ซึ่งพบว่า การอยู่กับหน้าจอที่มากในช่วงวัยเด็กตอนต้น มีความเชื่อมโยงกับคะแนนสอบที่ต่ำลง
งานวิจัยดังกล่าว ตีพิมพ์ใน วารสารสมาคมการแพทย์อเมริกัน หรือ JAMA เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ติดตามพฤติกรรมการใช้หน้าจอของนักเรียนประถมในประเทศแคนาดา โดยขอให้ผู้ปกครองรายงานถึงระยะเวลาการใช้หน้าจอในแต่ละวันของบุตรหลานที่เรียนอยู่ชั้นประถม 3 และชั้นประถม 6
ผลการศึกษาพบว่า เด็กที่ใช้เวลากับหน้าจอมากกว่า โดยเฉพาะการดูโทรทัศน์หรือใช้โซเชียลมีเดีย จะทำคะแนนการอ่านและคะแนนสอบคณิตศาสตร์ จากข้อสอบมาตรฐานได้ “ต่ำกว่า” เด็กที่อยู่กับหน้าจอเหล่านี้น้อยหรือไม่ใช้เลย งานวิจัยยังพบด้วยว่า การเพิ่มเวลาอยู่กับหน้าจอทุก 1 ชั่วโมงต่อวัน มีความเชื่อมโยงกับโอกาสที่ลดลงของการทำคะแนนด้านการอ่านและคะแนนวิชาคณิตศาสตร์ให้ได้สูงสุด ถึงราวร้อยละ 10
ขณะที่ข้อมูลของ สมาคมจิตเวชเด็กและวัยรุ่นสหรัฐอเมริกา ระบุว่า เด็กในสหรัฐใช้เวลากับหน้าจอ เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ และเครื่องเล่นเกม เฉลี่ยเกือบ 8 ชั่วโมงต่อวัน
มีงานวิจัยเมื่อปี 2023 ที่พบว่า การใช้หน้าจอที่มากเกินไป โดยเฉพาะการทำหลายอย่างพร้อมกันบนหน้าจอ มีความเชื่อมโยงกับการทำงานของสมองด้านการควบคุมตนเองที่แย่ลง และการมีผลการเรียนที่ตกต่ำลง
งานวิจัยเดียวกันนี้ ยังระบุว่า การทำหลายอย่างพร้อมกันกับโซเชียลมีเดียเป็นปัญหาอย่างยิ่ง เด็กที่มีนิสัยสลับแอปและหน้าจออย่างรวดเร็ว จะมีผลลัพธ์ด้านการรับรู้เป็นลบมากกว่าเด็กกลุ่มอื่น
งานวิจัยอีกหนึ่งชิ้นในปี 2025 ซึ่งตีพิมพ์โดย JAMA พบว่า เด็กในช่วงวัยก่อนวัยรุ่นที่ใช้โซเชียลมีเดียมากขึ้น มีคะแนนการทดสอบด้านการอ่าน คำศัพท์ และความจำต่ำกว่าเด็กที่ใช้โซเชียลมีเดียน้อยกว่า หรือที่ไม่ใช้เลย แม้แต่การใช้โซเชียลมีเดียในระดับต่ำ แต่เพิ่มการใช้งานขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็ยังเชื่อมโยงกับสมรรถนะทางสติปัญญาที่แย่ลงในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบความเชื่อมโยงระหว่างการใช้หน้าจอเป็นเวลานานกับกิจกรรมทางกายที่ลดลงในเด็ก สำหรับเด็กอายุ 5 ปีลงไป การอยู่กับหน้าจอมากเกินไป อาจจำกัดการพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวและความอยากรู้อยากเห็นในวัยเด็ก จากการที่ใช้เวลากับการเล่นน้อยเกินไป
งานวิจัยระบุว่า การใช้หน้าจอมากเกินไปยังอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพได้ โดยเกิดกับทุกช่วงวัย เช่น ภาวะน้ำหนักตัวเพิ่ม การนอนหลับไม่เป็นเวลา และสุขภาพจิตที่ย่ำแย่ รวมถึงปัญหาภาวะดวงตาเมื่อยล้า หรือ computer vision syndrome ทำให้ตาแห้ง การมองเห็นพร่ามัว และปวดศีรษะ
การใช้หน้าจอมากขึ้น ยังเพิ่มความเสี่ยงที่เด็กจะเกิด “ภาวะสายตาสั้น” ซึ่งทำให้มองเห็นวัตถุในระยะไกลได้ยาก โดยภาวะนี้มักเริ่มปรากฏในเด็กอายุระหว่าง 6 ถึง 14 ปี
ผู้เชี่ยวชาญด้านสายตา ย้ำถึงความสำคัญของการเตือนให้เด็กพักสายตาจากหน้าจอ ตามกฎ 20/20/20 คือ ละสายตาจากหน้าจอทุก 20 นาที แล้วมองไปที่วัตถุซึ่งอยู่ห่างออกไปอย่างน้อย 20 ฟุต เป็นเวลาอย่างน้อย 20 วินาที
สมาคมกุมารแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา เสนอแนวทางการใช้หน้าจอตามช่วงวัย โดยเด็กอายุต่ำกว่า 18 เดือนแทบควรไม่ใช้หรือไม่ใช้หน้าจอเลย เด็กอายุ 2 ถึง 5 ปีควรใช้หน้าจอไม่เกินวันละ 1 ชั่วโมง และสำหรับเด็กอายุ 5 ปีขึ้นไป การใช้หน้าจอไม่ควรไปเบียดบังเวลานอน เวลาออกกำลังกาย เวลาเรียน หรือเวลาที่ใช้ร่วมกับครอบครัว ซึ่งการจำกัดเวลาหน้าจอตั้งแต่เนิ่นๆ ทำได้ง่ายกว่า เพราะการใช้โซเชียลมีเดียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเด็กเข้าสู่วัยรุ่น
ที่มา
Study: Increased Screen Time Linked to Lower Test Scores Among Children
Screen Time and Standardized Academic Achievement Tests in Elementary School