คนรุ่นใหม่ในสหรัฐกำลัง “ยอมแพ้” และยอมรับว่า ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานหนักมากแค่ไหน ก็จะไม่มีวันซื้อบ้านเป็นของตัวเองได้จริงๆ ขณะเดียวกัน ก็เริ่มทำงานน้อยลง และนำเงินไปลงทุนกับการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงมากขึ้น
การศึกษาของ อี ซึงฮยอง จาก มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น ร่วมกับ ยู ยงกึน จากมหาวิทยาลัยชิคาโก ในสหรัฐ เผยว่า คนเจน Z ในสหรัฐอเมริการู้สึกผิดหวังกับราคาบ้านและสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ ทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนมากใช้เงินมากกว่าเงินที่ออม ทำงานน้อยลง และหันไปลงทุนกับการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงมากขึ้น
งานวิจัยเผยว่า นับเป็นครั้งแรกที่อายุเฉลี่ยของผู้ซื้อบ้าน ขยับขึ้นไปเป็น 40 ปี ซึ่งเป็นสัญญาณว่า ความสามารถในการเข้าถึงตลาดที่อยู่อาศัยกำลังประสบปัญหาอย่างรุนแรง
อี ซึงฮยอง สรุปว่า คนรุ่นใหม่กำลัง “ยอมแพ้” เช่นเดียวกับผลสำรวจโดย แฮรร์ริสโพลล์ ในปี 2024 ที่พบว่า ร้อยละ 42 ของชาวอเมริกัน และร้อยละ 46 ของคนเจน Z เห็นด้วยว่า “ไม่ว่าจะทำงานหนักแค่ไหน ก็ไม่มีวันสามารถซื้อบ้านที่ฉันรักได้จริงๆ”
งานวิจัยชี้ระบุว่า โดยทั่วไปแล้ว ครัวเรือนมักปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายเพื่อให้ยังไปสู่เป้าหมายระยะยาวได้ เช่น การซื้อบ้าน แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ พวกเขากำลัง “เริ่มยอมแพ้” ต่อเป้าหมายการเป็นเจ้าของบ้านไปโดยสิ้นเชิง
สอดคล้องกับบทวิเคราะห์ของ ไคล่า สแกนลอน นักวิเคราะห์เศรษฐกิจและนักสื่อสารการเงินที่โด่งดังในหมู่คนรุ่นใหม่ ที่งมองว่า คนรุ่นใหม่กำลังเผชิญภาวะ “ความสิ้นหวังทางการเงิน” (financial nihilism) หรือ “ตั้งคำถามต่อความฝันแบบอเมริกัน” ท่ามกลางค่าจ้างที่แทบไม่ขยับ ภาระหนี้การศึกษา และการครอบงำของบรรษัทขนาดใหญ่
“คนรุ่นใหม่เฝ้ามองความฝันแบบอเมริกันผุพังลงตรงหน้า เมื่อการศึกษาระดับสูงกลายเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย วิกฤตที่อยู่อาศัยดันค่าครองชีพให้สูงขึ้น ทั้งหมดเกิดขึ้นท่ามกลางความชะงักงันทางการเมือง และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ที่อาจจะเร็วเกินไปด้วยซ้ำ” ไคล่ากล่าว
อี ซึงฮยอง และ ยู ยงกึน สองนักวิจัย ชี้ว่า สัญญาณของการถอยห่างจากการซื้อบ้านของกลุ่มคนเจน Z คือ การที่พวกเขาใช้เงินมากกว่าการออม โดยระบุว่า เมื่อราคาบ้านพุ่งสูงจนถึงจุดที่ผู้เช่าไม่สามารถเก็บเงินจากค่าจ้างเพื่อซื้อบ้านได้ภายในอนาคตอันใกล้ ผู้เช่าจะยอมแพ้ต่อการซื้อบ้าน และหันไปใช้เงินออมเพื่อเพิ่มการบริโภคแทน
มีงานวิจัยอีกหลายชิ้นที่ชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า คนเจน Z กำลังใช้จ่ายแบบ ‘ไม่คิดถึงอนาคต’ โดยใช้เงินมากกว่า “การออม” มีงานศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่า เกือบครึ่งหนึ่งของคนเจน Z ไม่มีเงินสำรองฉุกเฉินเลย ขณะที่ผลสำรวจของ Bankrate บริษัทสื่อและข้อมูลด้านการเงินส่วนบุคคล ระบุว่า มีคนเจน Z มาถึงร้อยละ 27 ที่มีหนี้สินมากกว่าเงินออม
งานวิจัยของนักวิจัยทั้งสอง ยังพบว่า คนเจน Z ทุ่มเทกับการทำงานน้อยลง เพราะมองว่า หากไม่สามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินระยะยาวได้ เช่น การมีบ้านเป็นของตนเองได้ การทุ่มเททำงานไปก็ไม่คุ้มเหนื่อย
“การเปลี่ยนแปลงนี้ สอดคล้องกับการจัดสรรเวลากับการทุ่มเทแรงกายของผู้เช่าที่รู้สึกหมดกำลังใจ เมื่อผลตอบแทนจากแรงงาน ในแง่ของความก้าวหน้าไปสู่การมีบ้านลดลง คุณค่าที่พวกเขาให้กับการทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ก็ลดลงตามไปด้วย” รายงานวิจัยระบุ
งานวิจัยเผยด้วยว่า เมื่อการซื้อบ้านดูเป็นไปไม่ได้สำหรับคนเจน Z สิ่งที่พวกเขาตอบสนองต่อการที่ไม่สามารถซื้อบ้านได้ คือ การหันไปลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การซื้อคริปโตเคอร์เรนซี และเพิ่มการใช้จ่ายในช่วงเวลาว่าง
“ผู้ที่ยอมแพ้ต่อการมีบ้าน อาจรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีอะไรให้เสียไม่นัก จึงพร้อมจะเข้าไปพัวพันกับพฤติกรรมทางการเงินที่เสี่ยงมากขึ้น” งานวิจัยระบุ
มีงานวิจัยอื่นที่ศึกษาในปี 2025 ชี้ว่า คนเจน Z มีแนวโน้มเป็นเจ้าของคริปโตมากกว่าการมีบัญชีเงินออมเพื่อการเกษียณ ซึ่งสะท้อนว่าพวกเขายอมรับความเสี่ยงในการลงทุนมากกว่า ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินแสดงความกังวลต่อรูปแบบการจัดการการเงินในลักษณะนี้