ทีมนักวิจัยจากสถาบันแมกซ์พลังค์ ในเมืองเกิททิงเงิน ประเทศเยอรมนี และนักวิทยาศาสตร์ชาวอินเดีย จากศูนย์วิจัยชีวเวชศาสตร์ (CBMR) เมืองลัคเนา และมหาวิทยาลัยไฮเดอราบาด ค้นพบการเปลี่ยนแปลงใหม่เกิดขึ้นในสมองของผู้ใหญ่ที่ไม่รู้หนังสือจาก “การอ่าน”
การวิจัยดังกล่าวตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Science Advances ซึ่งพบว่า เมื่อชาวอินเดียที่ "ไม่รู้หนังสือ" ได้เรียนรู้การอ่านและการเขียน กระบวนการเรียนรู้นี้ส่งผลให้สมองของพวกเขามีการปรับโครงสร้างใหม่ที่ลึกลงไปถึงบริเวณฐานสมอง อย่างเช่น ทาลามัส และที่ก้านสมอง ซึ่งเป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของวิวัฒนาการด้านชีววิทยา และพบได้ในสมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด
งานวิจัยนี้ทำให้พบว่า การเรียนรู้ “การอ่าน” ซึ่งเป็นสิ่งที่ใหม่มากในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ สามารถเปลี่ยนแปลงสมองในส่วนที่เก่าแก่ที่สุดได้ การเรียนรู้การอ่านจึงต้องอาศัย “กระบวนการรีไซเคิลทางสมอง” บริเวณในสมองที่วิวัฒนาการขึ้นมาเพื่อจดจำวัตถุที่ซับซ้อน เช่น ใบหน้า จะถูกนำมาใช้แปลตัวอักษรให้กลายเป็นภาษา ทำให้บางส่วนของระบบการมองเห็นกลายเป็น “จุดเชื่อมต่อ” ระหว่างระบบการมองเห็นและระบบภาษา
งานวิจัยขนาดใหญ่นี้ทำขึ้นในประเทศอินเดีย ซึ่งมีอัตราการไม่รู้หนังสือสูงถึงราวร้อยละ 39 โดยที่ความยากจนเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการศึกษา โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิง ผู้เข้าร่วมการศึกษานี้ส่วนใหญ่จึงเป็นผู้หญิงที่อายุราว 30 ปี
ก่อนเริ่มการวิจัย ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่ไม่สามารถอ่านข้อความใดๆ ในภาษาฮินดีซึ่งเป็นภาษาแม่ได้เลย แต่หลังการฝึกการอ่านเพียง 6 เดือน ผู้เข้าร่วมก็สามารถอ่านตัวหนังสือได้ในระดับใกล้เคียงกับนักเรียนชั้นประถมปีที่ 1
“ที่ผ่านมาเรามักเข้าใจกันว่า การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จำกัดอยู่แค่ในสมองชั้นนอก หรือคอร์เทกซ์ ซึ่งเป็นส่วนที่ปรับตัวได้เร็วต่อสิ่งใหม่ๆ” ฟัลค์ ฮึตทิช หัวหน้าโครงการภาษาศาสตร์เชิงจิตวิทยา ของสถาบันแมกซ์พลังค์ กล่าว
งานวิจัยพบว่า เมื่อมนุษย์เริ่มเรียนรู้ตัวหนังสือ ความยืดหยุ่นทางสมองจะขยายตัวเข้าไปครอบคลุมเครือข่ายที่ฝังอยู่ในส่วนลึกของสมอง และเกิดการปรับโครงสร้างใหม่ ทำให้เราสามารถ “อ่าน” หรือเข้าใจสารจากการมองผ่านตัวอักษรได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ไมเคิล ชไคเดอ นักวิจัยของสถาบันแมกซ์พลังค์ด้านสมองและวิทยาศาสตร์ความรู้ความเข้าใจ หนึ่งในทีมวิจัยกล่าวว่า มีการพบว่า บริเวณ คอลลิคิวลิ ซูพีเรียเรส ซึ่งอยู่ในก้านสมอง ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของตา และ พัลวินาร์ ที่อยู่ในทาลามัส ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลทางประสาทสัมผัส เช่น การมองเห็น และช่วยเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างสมองส่วนต่างๆ มีการปรับจังหวะของรูปแบบการทำงานที่สอดคล้องกับ วิชวลคอร์เทกซ์ ซึ่งทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลภาพจากดวงตา
“โครงสร้างสมองส่วนลึกเหล่านี้ ช่วยให้วิชวลคอร์เทกซ์ กรองข้อมูลสำคัญออกจากสิ่งเร้าที่เป็นภาพจำนวนมหาศาลที่เข้ามาได้ และยิ่งจังหวะสัญญาณของสองบริเวณนี้สอดคล้องกันมากเท่าไร ความสามารถในการอ่านก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น ระบบสมองจะค่อยๆ ปรับการสื่อสารให้แม่นยำยิ่งขึ้นตามระดับความชำนาญของผู้อ่าน และนั่นอาจอธิบายได้ว่าทำไมคนที่อ่านคล่องถึงสามารถอ่านข้อความได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่า” ไมเคิล กล่าว
“พัฒนาการเช่นนี้ถือว่าน่าทึ่งมาก แม้การเรียนรู้ภาษาพูดจะยากสำหรับคนที่อายุมาก แต่ดูเหมือนการเรียนรู้การอ่านจะง่ายกว่ามาก และสมองของคนวัยผู้ใหญ่มีความยืดหยุ่นมากเกินกว่าที่เราคิดไว้” ฟัลค์ ฮึตทิช กล่าว
ความสำเร็จจากงานวิจัยนี้ไม่เพียงให้ความหวังแก่ผู้ใหญ่ที่ไม่รู้หนังสือเท่านั้น แต่ยังให้ความหวังกับ คนที่มีอาการ ดิสเล็กเซีย (Dyslexia) หรือภาวะผิดปกติทางด้านการอ่าน และการเรียนรู้ภาษา ซึ่งนักวิจัยกล่าวว่า เพียงไม่กี่เดือนของการฝึกอ่านก็สามารถเปลี่ยนแปลงที่ทาลามัสได้อย่างมีนัยสำคัญ จึงอาจต้องทบทวนสมมุติฐานของผู้มีภาวะดิสเล็กเซียเสียใหม่ว่า อาจไม่ได้เกิดจากความผิดปกติโดยกำเนิด แต่อาจเป็นเพราะระบบการมองเห็นของพวกเขาได้รับการฝึกฝนน้อยกว่าคนอื่นๆ ที่มีประสบการณ์ในการอ่านมากกว่า
นักวิจัยระบุว่า ความผิดปกติของสมองที่จะถือว่าเป็นมาโดยกำเนิดและทำให้เกิดภาวะดิสเล็กเซียได้ ก็ต่อเมื่อมันปรากฏตั้งแต่ก่อนที่เด็กจะเริ่มเรียนรู้การอ่านเท่านั้น ซึ่งต้องมีการทำการศึกษาติดตามสมองของเด็กตั้งแต่ก่อนเข้าเรียน และเป็นงานวิจัยที่มีความต่อเนื่องหลายปี
ที่มา
Even learning to read in your thirties profoundly transforms brain networks