Skip to main content

 

บทสนทนาของคนรุ่นใหม่ในสิงคโปร์เกี่ยวกับการทำงานในรอบหลายปีมานี้ วนเวียนอยู่กับคำยอดฮิต อย่าง การทำงานที่ยืดหยุ่น ความก้าวหน้าในอาชีพ และสมดุลชีวิตและงาน แต่งานวิจัยชิ้นใหม่กลับพบว่า ความต้องการที่แท้จริงของพนักงานรุ่นใหม่ในสิงคโปร์ในท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจปัจจุบัน คือ ความมั่นคงในการทำงาน และการได้รับค่าจ้างที่เป็นธรรม

รองศาสตราจารย์ จัสตินา ตัน จากมหาวิทยาลัยสังคมศาสตร์สิงคโปร์ (SUSS) และหัวหน้าทีมวิจัยการศึกษาเรื่อง มุมมองของคนรุ่นใหม่และนายจ้างต่อการทำงานในสิงคโปร์ ระบุว่า แม้ว่าพนักงานคนรุ่นใหม่จะให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในการทำงาน และความก้าวหน้าในอาชีพ แต่เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางการเงิน และความมั่นคงในการทำงานมากที่สุด และจุดนี้เองที่นายจ้างมักยังมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องกับคนกลุ่มนี้

การศึกษาชิ้นใหม่ของ มหาวิทยาลัยสังคมศาสตร์สิงคโปร์ ทำการสำรวจคนรุ่นใหม่ชาวสิงคโปร์กว่า 1,000 คน รวมถึงนายจ้างอีก 250 ราย พบว่า คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับผลตอบแทนทางการเงินและความมั่นคงของงาน มากกว่าความยืดหยุ่นในการทำงานหรือความก้าวหน้าในอาชีพ ซึ่งความมั่นคงเป็นสิ่งที่คนรุ่นกำลังเสาะแสวงหาในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนเช่นปัจจุบันนี้

ก่อนหน้านี้ มีงานวิจัยที่ชี้ว่า คนวัยทำงานชาวสิงคโปร์ให้ความสำคัญกับการทำงานที่มีความยืดหยุ่น ผลการสำรวจในปี 2024 พบว่า พนักงาน 1 ใน 2 คน ระบุว่า พวกเขาเลือกที่จะลาออก หากถูกสั่งให้กลับเข้าไปทำงานที่สำนักงาน

แต่ท่ามกลาง ต้นทุนชีวิตที่สูงขึ้นและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจในปัจจุบัน ลำดับความสำคัญดังกล่าวได้เปลี่ยนไป จากภาวะการเลิกจ้างพนักงานจำนวนมากในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี  และการนำเทคโนโลยีเอไอมาแทนที่งานหลายตำแหน่ง ส่งผลต่อความรู้สึกไม่มั่นคงและความไม่แน่นอนของการทำงาน

การวิจัยดังกล่าว แบ่งผู้ตอบแบบสอบถามออกเป็น 3 กลุ่มตามช่วงอายุ คือ 18–25 ปี, 26–30 ปี และ 31–35 ปี พบว่า กลุ่มอายุ 18–25 ปี ให้ความสำคัญกับการทำงานแบบยืดหยุ่น ขณะที่กลุ่มอายุ 26–30 ปี ให้ความสำคัญกับเรื่องสมดุลระหว่างชีวิตและงาน และกลุ่มที่อายุ 26–35 ปี ให้ความสำคัญกับผลตอบแทนทางการเงิน ความมั่นคงในการทำงาน และความก้าวหน้าในอาชีพ

รองศาสตราจารย์จัสตินา บอกว่า การแบ่งช่วงอายุทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน คนในวัย 20 ตอนต้น ยังสามารถให้ความสำคัญกับความเป็นอิสระและความยืดหยุ่น แต่เมื่อเข้าสู่วัย 20 ตอนปลายและเริ่มมีพันธะผูกพัน เช่น การซื้อบ้านหรือวางแผนที่จะมีครอบครัว ก็จะเริ่มให้ความสำคัญกับความมั่นคงในการทำงาน และเมื่อเข้าสู่วัย 30 ตอนต้น ภาระเงินกู้และการดูแลครอบครัว จะทำให้ต้องสนใจกับเรื่องความอยู่รอด มากกว่าเรื่องความมั่นคง

งานวิจัยยังพบความคาดหวังที่ไม่ตรงกันระหว่างนายจ้างกับพนักงานรุ่นใหม่ โดยที่นายจ้างหลายรายยังให้ความสำคัญกับการมอบหมายความรับผิดชอบใหม่ๆ ที่ถือเป็นการส่งเสริมความก้าวหน้าให้กับพนักงาน แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มีการเลิกจ้างและค่าครองชีพที่สูง พวกเขากลับคาดหวังเรื่องความมั่นคงในการทำงาน

ความคาดหวังที่ไม่ตรงกันนี้ สะท้อนออกมาในลักษณะของการที่คนรุ่นใหม่กว่าร้อยละ 60 พร้อมย้ายงานใหม่ เพราะไม่พอใจกับเงินเดือนและวัฒนธรรมองค์กรในที่ทำงานปัจจุบัน ซึ่งสร้างความสับสนให้กับนายจ้างกับการที่พนักงานไม่ตอบสนองต่อโอกาสในการเติบโตที่พวกเขามอบให้

รองศาสตราจารย์ จัสตินา ระบุว่า ผลการศึกษานี้ท้าทายภาพลักษณ์ที่เข้าใจว่า คนรุ่นใหม่ของสิงคโปร์เสาะแสวงหาเพียงแค่งานที่มีความยืดหยุ่น ความจริงแล้วพวกเขาให้ความสำคัญกับความมั่นคงในการทำงานเป็นอันดับแรก รวมถึงค่าตอบแทนที่เป็นธรรม ปริมาณงานที่รับได้ และเส้นทางอาชีพที่ชัดเจน ไม่ใช่เพียงแต่การมีสวัสดิการเข้าฟิตเนสฟรี หรือการมีสัปดาห์ทำงานที่ยืดหยุ่น

รองศาสตราจารย์ จัสตินา ชี้ว่า อนาคตของการทำงานของคนรุ่นใหม่ในสิงคโปร์ ขึ้นอยู่กับการที่นายจ้างสามารถมอบความมั่นคงในการทำงานได้ตามความคาดหวังของพวกเขาหรือไม่ รวมถึงโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งหากทำได้ จะไม่เพียงแต่ทำให้อาชีพของพวกเขามีความมั่นคงมากขึ้น แต่ยังเป็นการสร้างแรงงานที่มีความยืดหยุ่นต่อความเปลี่ยนแปลงในอนาคตด้วย


ที่มา
Commentary: Young workers aren’t chasing flexible work anymore – they want job security