Skip to main content

 

เมืองเซนต์หลุยส์ ในรัฐมิสซูรี ของสหรัฐ ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในเมืองที่มีการระบายน้ำเสียออกสู่สิ่งแวดล้อมมากที่สุด จากการที่ระบบระบายน้ำฝนเชื่อมต่อเข้ากับระบบบำบัดน้ำเสีย ในช่วงที่ฝนตกหนักน้ำเสียก็จะล้นออกมา และนำพาเอาของเสียและมลพิษต่างๆ ไหลลงสู่แม่น้ำมิสซิสซิปปีโดยตรง หรือไม่ก็ย้อนกลับเข้าไปในชั้นใต้ดินและถนนของเมือง

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ เขตจัดการน้ำเสียของเมืองเซนต์หลุยส์ หรือ Metropolitan St. Louis Sewer District (MSD) กำลังอยู่ระหว่างดำเนินโครงการปรับปรุงระบบน้ำเสียที่อยู่ใต้ดินครั้งใหญ่ ซึ่งกินเวลาหลายทศวรรษ ขณะเดียวกัน ก็มีการดำเนินโครงการเหนือพื้นดินเพื่อทำให้ภูมิทัศน์ของเมืองสามารถดูดซับน้ำได้มากขึ้น

MSD ลงทุนไปกว่า 120 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนโครงการช่วยลดปริมาณน้ำฝนที่จะไหลสู่บ่อบำบัดน้ำเสีย  รวมถึงจ่ายเงินชดเชยให้กับเจ้าของที่ดินที่มีวิธีกักเก็บน้ำฝนไว้ในพื้นที่ของตัวเอง โครงการเหล่านี้มีตั้งแต่ บ่อปลูกพืชเพื่อดูดซับน้ำ ถังเก็บน้ำฝนในสวนหลังบ้าน ที่กักเก็บน้ำฝนไว้ใช้รดพืชหรือแปลงผัก ถึงตอนนี้ โครงการในพื้นที่รอบๆ เมืองเซนต์หลุยส์ สามารถช่วยป้องกันไม่ให้น้ำเสียล้นลงสู่แม่น้ำมิสซิสซิปปีได้แล้วกว่า 89 ล้านแกลลอน

ฟาร์ม Jubilee Oasis เป็นหนึ่งในโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากทางเมือง เป็นโครงการกักเก็บน้ำฝนเพื่อผลิตอาหาร  เจนนา จาร์วิส ผู้จัดการโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวของ MSD บอกว่า โครงการแบบนี้มีความซับซ้อน และมักกักเก็บน้ำได้น้อยกว่า มีการออกแบบและการดูแลที่ยากกว่า แต่ทว่ากลับเป็นโครงการที่มีคุณค่าอย่างมากต่อชุมชน

ฟาร์ม Jubilee Oasis เริ่มจากการขุดหลุมขนาด 100 ตารางฟุต ลึก 10 ฟุต แล้วเชื่อมต่อท่อน้ำฝนจากหลังคาโบสถ์เข้าสู่ ถังเก็บน้ำขนาด 150,000 แกลลอน ซึ่งสร้างขึ้นจากความช่วยเหลือของ The Nature Conservancy องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อม ในการอนุรักษ์ที่ดินและแหล่งนํ้า

หลังจากติดตั้งระบบกักเก็บน้ำฝนเรียบร้อยแล้ว สมาชิกโบสถ์และอาสาสมัครจากชุมชน โรงเรียน และวิทยาลัย ต่างช่วยกันสร้างแปลงผัก และปลูกเมล็ดพันธุ์กับต้นกล้าต่างๆ บนที่ดินขนาดเกือบ 4 ไร่ข้างโบสถ์ให้กลายเป็นฟาร์มในเมือง

“น้ำฝนทุกหยดที่เราสามารถเก็บไว้ได้ สร้างประโยชน์ให้กับชุมชน ถือว่ามีค่า” เจนนา กล่าว

ฟาร์ม Jubilee Oasis มีทั้งแปลงผัก พืชพื้นถิ่น และสวนผลไม้ นอกจากพอว์พอว์แล้ว ยังมีมะเดื่อฝรั่ง หรือลูกฟิก พุทราจีน  แบล็กเบอร์รี และอื่นๆ ซึ่งพืชทุกชนิดรดน้ำด้วยน้ำฝนที่เก็บจากหลังคาโบสถ์ ส่วนผลผลิตที่ได้จะส่งให้กับสมาชิกของโบสถ์และเพื่อนบ้าน รวมถึงนำไปขายตามตลาดท้องถิ่น ตลาดสหกรณ์ และร้านอาหารในเมือง

แต่ผลผลิตส่วนใหญ่จะถูกนำไปแบ่งให้กับคนในชุมชน ทั้งสำหรับทำอาหารในโบสถ์ หรือไปส่งถึงครัวของสมาชิกโบสถ์ที่มาช่วยงานในสวน บางครั้งจะเชิญสมาชิกจากชุมชนรอบข้างมารับอาหารไปกิน เพราะมีคนในละแวกนั้นที่เป็นคนไร้บ้าน และต้องต่อสู้กับปัญหาการเสพสารเสพติด หรือไม่ก็มีปัญหาทางด้านสุขภาพจิต

ระบบเก็บน้ำฝนของฟาร์ม Jubilee Oasis นอกจากจะช่วยให้ฟาร์มในเมืองแห่งนี้สามารถเพาะปลูกได้ ยังช่วยให้คนเข้าถึงผลผลิตที่เป็นอาหารสดได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันก็ช่วยแก้ปัญหาเรื้อรังของเมืองเรื่องน้ำฝนที่ไหลรวมกับน้ำเสียในท่อระบายน้ำระหว่างที่ฝนตกหนัก จนทำให้มีน้ำเสียล้นลงสู่แม่น้ำมิสซิสซิปปีและทางน้ำอื่นๆ

“มันช่วยลดปริมาณน้ำที่ไหลเข้าสู่ระบบระบายน้ำ และยังสร้างโอกาสในการปลูกอาหารออร์แกนิกในใจกลางย่านนอร์ทเซนต์หลุยส์ด้วย” แอนดี ครุมซีก ผู้ดูแลฟาร์มและศิษยาภิบาลของ Jubilee Community Church กล่าว

ดอนนา วอชิงตัน อาศัยอยู่ในนอร์ทเซนต์หลุยส์ บอกว่า พื้นที่นี้ของเมืองเป็นเหมือน “ทะเลทรายอาหาร” คนที่ไม่มีรถส่วนตัว จะต้องต่อรถบัสสองสายจึงจะไปถึงร้านขายของชำได้ การที่ฟาร์มแจกจ่ายอาหารให้ผู้ที่อยู่ในภาวะเปราะบางจึงเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ เพราะหากไม่มีการแจกจ่ายอาหารแล้ว คนเหล่านั้นก็อาจจะไม่มีอะไรกินเลย

ขณะที่แอนดี เสริมว่า การปลูกอาหารในฟาร์มนี้ยังช่วยให้ชาวชุมชนได้รู้จักกับอาหารที่พวกเขาไม่เคยลองมาก่อน เป็นการเปิดโลกอาหารใบใหม่ที่ทั้งดีต่อสุขภาพและอร่อยมากด้วย

ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดที่ฟาร์ม Jubilee Oasis กำลังเผชิญ คือ การขาดแคลนแรงงาน สำหรับดูแลฟาร์ม ตั้งแต่เตรียมการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิ การกำจัดวัชพืชและตัดหญ้า การเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงฤดูร้อน ไปจนถึงการปลูกซ้ำในฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งในระยะแรกโบสถ์ได้รับความช่วยเหลือจากกลุ่มนักเรียนและพันธมิตรในชุมชนมากมาย แต่จำนวนอาสาสมัครลดลงอย่างมากในช่วงโควิด-19 และยังไม่กลับมาในระดับเดิม

ส่วน ร็อบ ฮันต์ ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรน้ำยั่งยืน ของ The Nature Conservancy สาขามิสซูรีบอกว่า โครงการบริหารจัดการน้ำฝนในเมืองเป็นเรื่องท้าทาย เพราะในชนบทโครงการลักษณะเดียวกันสามารถครอบคลุมพื้นที่การเกษตรได้หลายพันเอเคอร์ แต่ในเมืองซึ่งที่ดินมีเจ้าของกระจัดกระจายและมีผลประโยชน์แตกต่างกัน จึงยากที่จะขยายผลในวงกว้าง

ร็อบกล่าวว่า ข้อดีประการสำคัญของโครงการฟาร์ม Jubilee Oasis คือ การแสดงให้เห็นว่า โครงการจัดการน้ำฝน สามารถแก้ไขปัญหาสังคมและปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ควบคู่ไปพร้อมกันได้


ที่มา
Harvesting Hope: The Urban Farms Helping Save a City’s Aging Sewer System