อดีตคนขับรถบรรทุกวัยเกษียณชาวอังกฤษ ล้มเหลวในการทำตามที่หมอสั่งให้ลดน้ำหนักและออกกำลังกาย แต่หลังได้รับใบสั่งยาแนวใหม่ให้เข้าคอร์สปั่นจักรยานเป็นเวลา 10 สัปดาห์ ปรากฏว่าชีวิตเปลี่ยน เขาสามารถลดน้ำหนักไปได้มากกว่า 40 กิโลกรัม และไม่ต้องใช้อินซูลินเพื่อควบคุมเบาหวาน
แฟรงค์ ฟรอสต์ วัย 76 ปี ทำอาชีพขับรถบรรทุกระยะไกลเพื่อส่งเคมีภัณฑ์ทั่วสหราชอาณาจักรมานานกว่า 30 ปี เขาทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ วันละ 12 ถึง 15 ชั่วโมงในการขับรถบรรทุกไปส่งสินค้ายังที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เขาบอกว่า โอกาสที่จะได้ขยับเขยื้อนร่างกายจะมีแค่ตอนที่ได้จอดพักรถ และลงจากรถเดินหามื้อเย็นกินตามร้านฟาสต์ฟู้ด
สภาพการทำงานดังกล่าว ทำให้แฟรงค์น้ำหนักตัวเกิน และตอนที่เข้าสู่วัย 50 ปี เขาเป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2 และต้องฉีดอินซูลินตามคำสั่งของหมอ รวมถึงหมอสั่งให้เขาลดน้ำหนักและขยับตัวให้มากขึ้น แต่เขาบอกว่า ล้มเหลวในการปฏิบัติตามคำสั่งหมอเหมือนกับคนไข้ส่วนใหญ่ ซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอและไร้ค่า
แต่หลังจากแฟรงค์ได้พบหมอท่านหนึ่งที่รักษาเขาด้วยวิธีที่ต่างออกไป และได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปจากเดิม
“หมอถามผมว่า อะไรคือสิ่งสำคัญในชีวิตของผม ไม่เคยมีหมอคนไหนถามผมแบบนี้มาก่อนเลย ผมตอบหมอว่า ผมอยากอยู่ให้นาน นานพอที่จะได้เห็นหลานๆ โต” แฟรงค์เล่า
หมอถามว่า นอกจากหลานๆ ตัวน้อยแล้ว มีอะไรอีกที่ช่วยทำให้เขารู้สึกสบายกายสบายใจได้อีก ทำให้แฟรงค์นึกขึ้นได้ว่า เขาชอบการปั่นจักรยานมาก หมอจึงออก “ใบสั่งยา” ให้เขาเป็นการเข้าคอร์สขี่จักรยานที่เรียกว่า Pedal Ready เป็นเวลา 10 สัปดาห์
แฟรงค์บอกว่า เขาไม่ได้ขี่จักรยานเลยมาเกือบ 50 ปี จนกระทั่งได้รับใบสั่งยาจากหมอให้กลับไปขี่จักรยานอีกครั้ง
จูเลีย ฮอทซ์ นักข่าวที่เขียนเรื่องเล่าของแฟรงค์ในหนังสือของเธอที่ชื่อ The Connection Cure: The Prescriptive Power of Movement, Nature, Art, Service, and Belonging บอกว่า สิ่งที่คุณหมอบอกให้แฟรงค์ทำ ก็คือสิ่งที่เรียกว่า “ใบสั่งยาทางสังคม” นั่นเอง
กรณีของแฟรงค์ จูเลียบอกว่า ใบสั่งยาที่แท้จริงก็คือ การให้ทำกิจกรรมร่วมกับชุมชน ซึ่งเป็นแบบเดียวกับใบสั่งยาของหมอที่สั่งยาให้กิน หรือสั่งให้ไปรับการบำบัด ที่รวมถึงการออกกำลังกาย การทำงานศิลปะ การเล่นดนตรี การออกไปหาธรรมชาติ และการไปเป็นอาสาสมัคร ซึ่งเหล่านี้ส่งผลดีอย่างมหาศาลกับทั้งสุขภาพกายและจิตใจ
คำถามชวนคิดว่า อะไรคือกิจกรรมที่เรารัก? และอะไรคือสิ่งที่ทำให้เราอยากลุกจากเตียงนอนในตอนเช้า? จูเลียกล่าว
หลังจากแฟรงค์เข้าร่วมกิจกรรมปั่นจักรยาน 10 สัปดาห์ น้ำหนักตัวของเขาลดลงไปราว 100 ปอนด์ หรือมากกว่า 45 กิโลกรัม และอาการของโรคเบาหวานกลับมาอยู่ในระดับที่ควบคุมได้โดยที่ไม่ต้องฉีดอินซูลิน แฟรงค์บอกว่า ก๊วนเพื่อนขี่จักรยานช่วยให้เขาผ่านสิ่งเหล่านี้มาได้ และหลังจากนั้นพวกเขายังคงนัดพบปะกันอยู่
แม้ใบสั่งของหมอที่ให้คนไข้ไปทำกิจกรรมร่วมกับชุมชนจะได้ผลดี แต่จูเลียบอกว่า ใบสั่งยาทางสังคม ก็ไม่ได้จะมาแทนที่การรักษาด้วยยาหรือการบำบัด แต่เป็นการทำสองอย่างนี้ไปพร้อมๆ กัน
ในกรณีของแฟรงค์ การได้เชื่อมต่อกับสังคมส่งผลดีต่ออารมณ์และสุขภาพโดยรวม และเพื่อนๆ สามารถช่วยสร้างพฤติกรรมใหม่ที่ดีต่อสุขภาพให้กับเขา ซึ่งจูเลียบอกว่า มีงานวิจัยที่พบว่า การออกกำลังกายช่วยลดความเครียด ช่วยคลายความกังวล และทำให้หลอดเลือดหัวใจแข็งแรง ขณะที่ดนตรีและศิลปะสามารถช่วยบำบัดคนที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิตได้
มีจำนวนของผู้ให้บริการด้านสุขภาพใน 30 ประเทศที่ออกใบสั่งยาทางสังคมให้กับผู้ที่มีอาการเบาหวานประเภทที่ 2 คนที่มีอาการเจ็บปวดเรื้อรัง คนที่มีอาการสมองเสื่อม รวมถึงคนที่มีภาวะวิตกกังวลและซึมเศร้า ในสหรัฐอเมริกา ผู้ให้บริการสาธารณสุขราว 250 แห่งเริ่มใช้วิธีเดียวกันนี้
มีกรณีศึกษาในประเทศอังกฤษ ซึ่งมีการออกใบสั่งยาทางสังคม เผยว่า วิธีดังกล่าวนอกจากจะช่วยให้สุขภาพของผู้ป่วยดีขึ้นแล้ว ยังช่วยเรื่องประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ซึ่งค่าใช้จ่ายในการเข้าคอร์สเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ 10 สัปดาห์นั้นถูกกว่า ค่ารักษาพยาบาลโรคความดันโลหิตสูงที่ต้องรักษาไปตลอดชีวิต
“จำนวนผู้มาใช้บริการห้องฉุกเฉินลดลง และจำนวนคนไข้ที่กลับไปพบแพทย์เป็นประจำซ้ำ ๆ ก็ลดลงด้วย ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป สิ่งเหล่านี้ช่วยสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่ค่อนข้างสูงทีเดียว” จูเลียกล่าว
ในแคนาดา การที่แพทย์ออกใบสั่งยาทางสังคม ช่วยลดภาระการรักษาพยาบาลผู้สูงอายุลงได้ราว 300 ล้านดอลลาร์ การแจ้งผู้ป่วยฉุกเฉินและการเข้ารับการรักษาในห้องฉุกเฉินก็ลดลง ขณะที่ช่วยลดอาการด้านสุขภาพจิตของคนในวัย 15 ถึง 17 ปี ที่มีอาการซึมเศร้าและวิตกกังวลลงได้ร้อยละ 14
จูเลียแนะนำว่า ในกรณีที่การรักษาของหมอไม่สามารถช่วยเราได้ ให้ลองเปลี่ยนไปค้นหาชุมชนจากโลกออนไลน์ หาองค์กรที่ทำกิจกรรมที่เราสนใจอยากทำ เช่น การปีนเขา วาดภาพ ร้องเพลง ว่ายน้ำ การเป็นอาสาสมัครดูแลเด็กๆ หรือไม่ก็ออกไปพบเจอเพื่อนๆ ซึ่งเธอบอกว่ามีตัวเลือกอื่นๆ อีกมาก
จูเลียบอกว่า ลองถามตัวเราเองว่า ถ้ามีเวลาว่างสักสองสามชั่วโมงในสัปดาห์นั้น คุณอยากใช้เวลานั้นไปกับอะไร อะไรคือกิจกรรมที่คุณรักและอยากจะทำมาตั้งแต่สมัยเด็ก และไม่เคยมีโอกาสได้ทำมันเลย
ที่มา
With social prescribing, hanging out, movement and arts are doctor's order