Skip to main content

 

คงไม่มีใครสักกี่คนคาดคิดว่า ตามที่รกร้างในเมืองใหญ่จะมีแหล่งอาหารให้สามารถเก็บกินได้โดยไม่ต้องเสียเงิน อย่างเช่น นิวยอร์กซิตี้ ในสหรัฐอเมริกา ที่มีของขวัญกินได้ซุกซ่อนอยู่ตามซอกมุมต่างๆ ของเมือง

ในมุมอันเงียบสงบของนิวยอร์กซิตี้ ที่ซึ่งดูเหมือนเป็นสถานที่ที่พืชพรรณไม่น่าจะงอกงามได้ดี แต่สำหรับคนที่รู้ จะรู้ว่าในมหานครแห่งนี้เต็มไปด้วยของขวัญที่ถูกซ่อนไว้  ซึ่ง “Falling Fruit” กลุ่มคนที่ขับเคลื่อนเรื่องนี้ จะชี้เป้าว่า สามารถหาของขวัญเหล่านี้ได้ที่ตรงไหนของเมืองใหญ่  

อีธาน เวลตี กับ คาเลบ ฟิลิปส์ สองหนุ่มได้ร่วมกันสร้างแฟลตฟอร์มที่ชื่อ “FallingFruit” เป็นแผนที่ชี้เป้าแหล่งอาหารในเมืองใหญ่ที่เปิดให้ใครก็ได้เข้ามาใช้งาน โดยปักหมุดพืชที่กินได้กว่า 1.6 ล้านจุดในพื้นที่เขตเมืองทั่วโลก ตั้งแต่สวนแอปเปิ้ลในเบอร์ลิน ข้ามมาถึงต้นมัลเบอร์รี่ในลอสแองเจลิส

แผนที่ชี้เป้านี้ เริ่มต้นจากสเกลเล็กๆ ที่เป็นการทดลองของ อีธานและคาเลบ ซึ่งต่อมาขยายออกจนเป็นข้อมูลขนาดใหญ่ระดับโลก และเปลี่ยนวิธีที่คนมองเมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่

“ผมโตมาในฝรั่งเศส และมีความรู้สึกที่ไวกับสถานที่ที่ส่งกลิ่น มีอาหารอยู่มากในภูมิประเทศ ผมจำได้จึงการออกหาเชสท์นัท การเด็ดดอกแดฟโฟดิล การไปหาเห็ด” อีธานกล่าว

 

อีธาน เวลตี (ภาพจากเฟสบุ๊ก Falling Fruit)

 

ครอบครัวของอีธานย้ายกลับมายังเมืองซีแอตเทิล ในสหรัฐ แต่ความรู้สึกเชื่อมต่อกับอาหารและธรรมชาติของเขายังคงดีอยู่ จนกระทั่งเขาย้ายมาอยู่ที่โคโลราโดและเริ่มมองเห็นเมืองเป็นที่ออกหาอาหาร ซึ่งทำให้เขามองเมืองในมุมที่เปลี่ยนไป เขาจำไม้ผลที่อยู่ระหว่างทางที่ขี่จักรยานผ่าน จุดที่ไม่มีคนสนใจของสวนสาธารณะ เขาบอกว่า ผู้คนรู้สึกประหลาดใจที่เห็นเขาเก็บผลไม้จากต้นไม้ในเมือง

การออกหาอาหารในเมืองของอีธานเริ่มเป็นรูปเป็นร่างในปี 2008 เมื่อโครงการของมหาวิทยาลัยโคโลราโดขอให้เขาช่วยทำแผนที่อาหารในเมือง และทำการวิเคราะห์ถึงปริมาณของอาหารที่เมืองสามารถผลิตได้จากการใช้พื้นที่เล็กๆ

จากแผนที่ส่วนตัว บันทึกที่เขียนด้วยลายมือและภาพร่างแผนที่ เป็นพื้นฐานให้กับ Falling Fruit เมื่ออีธานได้พบกับ คาเลบในเดือนมกราคมปี 2013 ซึ่งทั้งสองต่างมีความหลงใหลในสภาพแวดล้อมที่ถูกทิ้งร้างในเมือง และร่วมกันสร้าง Falling Fruit

ในตอนเริ่มต้น Falling Fruit ปักหมุดบนแผนที่ของพวกเขาระบุจุดที่ถูกทิ้งร้างของเมืองซึ่งมีไม้ผลที่เป็นอาหารจำนวน 600 แห่ง แฟลตฟอร์มของพวกเขาได้รับความสนใจอย่างรวดเร็วจากทั้งชาวสวนในเมือง นักสิ่งแวดล้อม และชุมชนต่างๆ ขณะที่ทั้งสองต้องการรู้ถึงสถานที่เหล่านั้นในที่อื่นๆ เพิ่มขึ้นอีกในสหรัฐและแคนาดา

 

ภาพจากเฟสบุ๊ก Falling Fruit

 

ทุกวันนี้ Falling Fruit เป็นมากกว่าแผนที่แสดงจุดที่สามารถหาอาหารได้ในเมือง ทั้งอีธานและคาเลบยังคิดถึงเรื่องอาหารกับชีวิตของคนเมือง ในแผนที่ Falling Fruit จึงรวมเอาจุดที่มีไม้ผลและพืชกินได้ทุกชนิด ไปจนถึงแหล่งที่มีน้ำผึ้ง รวมถึงจุดทิ้งขยะขนาดใหญ่ในเมือง อีธานบอกว่า สิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้เพียงเพื่อช่วยให้ผู้คนสามารถค้นหาอาหารฟรีได้ แต่ยังต้องการสร้างแรงบันดาลใจกับเมืองต่างๆ ในการสร้าง “ป่าอาหาร” ในพื้นที่สาธารณะให้เต็มไปด้วยพืชกินได้ ผสมผสานภูมิทัศน์ของเมืองและความเป็นธรรมชาติ

อีธานบอกว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าเมืองไม่มีอาหาร แต่อยู่ที่วิธีการออกแบบเมือง ในสหรัฐอเมริกาแห่งเดียว มีอาหารถูกทิ้งไปเปล่าๆ มากถึง 1 ใน 3 ของปริมาณที่ผลิตได้ คิดเป็นมูลค่ากว่า 161 ถึง 218 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ขณะที่มีคนจำนวนหลายล้านคนไม่มีความมั่นคงทางด้านอาหาร ป่าอาหารในเมืองจึงเป็นการริเริ่มและท้าทายความคิดเกี่ยวกับการใช้พื้นที่ในเมือง

“ต้นไม้ส่วนใหญ่ในเมืองถูกนำมาปลูกตามการตัดสินใจของมนุษย์ นั่นหมายความว่า เราสามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจเหล่านั้นได้ ด้วยการปลูกไม้ผลซึ่งพวกมันก็มีความสวยงาม ในการออกแบบพื้นที่ในเมืองที่สามารถเลี้ยงดูผู้คนได้ จึงเป็นมากกว่าแค่เรื่องความสวยงาม” อีธานกล่าว

มีเมืองหลายแห่ง เช่น บิลลิงส์ ในรัฐมอนทานา มีการปลูกไม้ผลมากกว่า 120 ต้นในสวนสาธารณะ เช่น แอปเปิ้ล แพร์ พลัม ให้ประชาชนมาเก็บไปกินได้ฟรีตั้งแต่ปี 2018 ขณะที่โบสถ์หลายแห่งและธุรกิจในหลายที่พากันทำตาม โดยปลูกไม้ผล และระบุตำแหน่งลงบนแผนที่ของ  Falling Fruit เพื่อให้ประชาชนเข้ามาเก็บเอาไปกินได้ฟรี

 

ที่มา
For Modern Foragers, This Map Reveals Urban Abundance