Skip to main content

 

เจมส์ คริสโตเฟอร์ แฮร์ริสัน ถูกขนานนามว่า เป็น “ชายผู้มีแขนทองคำ” เนื่องจากเขามีเลือดพิเศษที่สามารถนำไปช่วยทารกในครรภ์ให้รอดชีวิตจากโรคเม็ดเลือดแดงแตกสลายได้ ตลอด 60 ปีของการบริจาคเลือดที่มากกว่า 1.1 พันครั้ง  เขาได้รักษาชีวิตทารกไว้มากกว่า 2.4 ล้านคน และได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษของชาวออสเตรเลีย

เจมส์ แฮร์ริสัน เกิดเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 1936 เขาไม่เคยรู้เลยว่า เลือดของเขามีความพิเศษต่างจากเลือดมนุษย์ทั่วไป และสามารถนำไปใช้ช่วยชีวิตของทารกที่อยู่ในครรภ์ได้ ซึ่งต่อมา เขาได้กลายเป็นผู้บุกเบิกโครงการ Anti-D ที่สำคัญอย่างยิ่ง

เจมส์ เคยเข้ารับการผ่าตัดใหญ่ช่องอกในปี 1951 ตอนที่เขามีอายุ 14 ปี เขาได้รับเลือดจากผู้บริจาคโลหิตซึ่งช่วยชีวิตเขาเอาไว้ หลังการผ่าตัดประสบความสำเร็จด้วยดี เขาตั้งภารกิจของชีวิตเอาไว้ว่า จะบริจาคโลหิต และเริ่มทำในอีก 4 ปีต่อมาทันทีที่อายุครบ 18 ปี แม้ว่าเขาจะกลัวเข็มฉีดยาก็ตาม

หลายปีต่อมา เลือดของเจมส์ได้รับการทดสอบว่า เป็นเลือดที่ “มีค่ามากที่สุดในโลก” เนื่องจากพลาสมาของเขามีแอนติบอดี้ที่คุณสมบัติพิเศษ สามารถนำไปผลิตยาที่รู้จักกันในชื่อ Anti-D ซึ่งช่วยปกป้องทารกในครรภ์จากการเสียชีวิตด้วยโรคเม็ดเลือดแดงสลายตัว ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของทารกออสเตรเลียหลายพันรายในแต่ละปี

เมื่อเจมส์ทราบว่า เลือดของเขามีแอนติบอดี้ที่สามารถป้องกันการโจมตีโดยเลือดของแม่ที่มี Rh ลบต่อทารกในครรภ์ที่มีเลือด Rh บวก เขามีความสุขมากและยินดีที่จะบริจาคเลือดอย่างต่อเนื่อง สลับกับการบริจาคพลาสมาเพื่อช่วยเหลือชีวิตผู้อื่นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

เจมส์ คริสโตเฟอร์ แฮร์ริสัน ถูกขนานนามว่า เป็น “ชายผู้มีแขนทองคำ” 

 

Anti-D อิมมูโนโกลบิน ผลิตขึ้นจากพลาสมาของผู้บริจาคโลหิตที่เลือดมีคุณสมบัติพิเศษ อย่างเช่น เลือดของเจมส์ แฮร์ริสัน จะถูกฉีดให้กับแม่ที่ตั้งครรภ์ซึ่งมีหมู่เลือด Rhลบ เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายของแม่ผลิตแอนติบอดี้ที่จะทำอันตรายต่อทารกในครรภ์ซึ่งมีเลือดเป็น Rh บวก

ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น คือ เมื่อเลือดที่เป็น Rh ลบสัมผัสกับเลือดที่เป็น Rh บวก ร่างกายผลิตแอนติบอดี้ขึ้นเพื่อต่อต้านเลือดที่เป็น Rh บวก โดยมองว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมที่รุกรานเช่นเดียวกับไวรัสหรือแบคทีเรีย แอนติบอดี้ที่ถูกผลิตออกมาจะทำลายเม็ดเลือดแดงของทารก ซึ่งจะเกิดขึ้นอัตโนมัติในกรณีที่เลือดของแม่เป็น Rh ลบ และลูกในครรภ์เป็น Rh บวก

หากปราศจากการฉีด Anti-Dให้กับแม่ที่หมู่เลือดเป็น Rhลบที่ตั้งครรภ์แล้ว ทารกในท้องจะต้องทุกข์ทรมานกับภาวะโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงสลายตัว (Hemolytic Anemia) ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้แท้งลูก และทารกในครรภ์เสียชีวิต

วันที่ 11 พฤษภาคม 2018 เป็นวันที่เจมส์ในวัย 81 ปี บริจาคเลือดเป็นครั้งสุดท้าย เขาอุทิศตัวบริจาคเลือดมาตลอด 60 ปี และสร้างสถิติโลกด้วยการบริจาคเลือดมากถึง 1,173 ครั้ง การที่เขาบริจาคเลือดทุกๆ 2 สัปดาห์ครึ่ง ทำให้มีแหล่งแอนติบอดี้ที่ทรงคุณค่าให้กับคุณแม่ชาวออสเตรเลียตลอดกว่า 50 ปีที่ผ่านมา

“มันเป็นวันที่น่าเศร้าสำหรับผม ที่จะต้องหยุดบริจาคเลือด หลังจากที่ทำมายาวนาน” เจมส์กล่าว

Anti-D ที่ผลิตขึ้นจากแอนติบอดี้ของเจมส์ ช่วยป้องกันแม่ที่ตั้งครรภ์ซึ่งมีเลือด Rh ลบไม่ให้สร้างแอนติบอดี้ที่จะทำอันตรายต่อทารกในท้องที่มีเลือดเป็น Rh บวกได้จำนวนมากกว่า 3 ล้านโดส นับตั้งแต่ปี 1967 เลือดที่คุณสมบัติพิเศษของเขาช่วยรักษาชีวิตทารกออสเตรเลียไว้มากกว่า 2 ล้าน 4 แสนชีวิต

“น้อยคนมากๆ ที่จะมีแอนติบอดี้ที่เข้มข้นแบบเจมส์ ร่างกายของเขาผลิตแอนติบอดี้ได้ปริมาณมาก และเมื่อเขาบริจาค พวกมันก็ยิ่งผลิตมากขึ้นอีก” เจมมา ฟาลเคนเมียร์ เจ้าหน้าที่รับบริจาคเลือดสภากาชาดออสเตรเลียกล่าว

ในปี 1999 เจมส์ได้รับเหรียญเชิดชูเกียรติและยกย่องให้เป็นวีรบุรุษของชาติสำหรับการบุกเบิกและสนับสนุนโครงการ Anti-D

หากไม่มี Anti-D ที่ผลิตจากแอนติบอดี้ในเลือดของเจมส์ แม่ที่ตั้งครรภ์จำนวนมากอาจต้องแท้งลูกหลายครั้ง หรือหากทารกคลอดออกมาสำเร็จ เด็กก็จะมีการทำงานของสมองที่ไม่ปรกติ หรือเป็นโรคโลหิตจางตั้งแต่กำเนิด

“ผมหวังที่จะให้มีคนทำลายสถิติของผม เพราะมันหมายถึงว่า พวกเขาอุทิศตัวให้กับสิ่งที่ดี” เจมส์กล่าวในระหว่างการบริจาคเลือดครั้งสุดท้าย


อ้างอิง
Man with the 'most valuable blood on Earth' saved 2,400,000 babies 'by accident'
James Harrison's story
Final donation for man whose blood helped save 2.4 million babies
He donated blood every week for 60 years and saved the lives of 2.4 million babies
มารู้จักหมู่เลือดกันเถอะ (ตอนที่ 2)