ภาวะโลกร้อน และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ที่กำลังเลวร้ายมากขึ้นทุกปี กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่อาจกระทบชีวิตวัยเกษียณของผู้สูงอายุจำนวนมาก ดังเช่น เบนนี และมิเรียม ที่สูญเสียบ้านและทรัพย์สินไปกับภัยพิบัติหลายครั้ง จนพวกเขาตระหนักแล้วว่า ชีวิตหลังเกษียณที่พวกเขาคิดว่าจะมั่นคง ไม่ใช่เรื่องจริงอีกต่อไป
มิเรียม และ เบนนี ซาลาดิน คิดว่าชีวิตวัยเกษียณของพวกเขามั่นคงดีแล้ว พวกเขามีเงินออมจากการทำงานตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา และเป็นเจ้าของบ้านสองชั้นในเมืองแมนวิลล์ รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของหลานๆ ทั้ง 15 คน ทั้งคู่เชื่ออย่างสุดหัวใจว่า ชีวิตที่เหลืออยู่จะมีแต่ความสุข และไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องกังวลอีก
กระทั่งเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ ที่พัดทำลายบ้านเรือนและทรัพย์สินของพวกเขาไปจนหมดสิ้น ตอนนี้พวกเขามีหนี้สินก้อนใหญ่ และความหวังที่จะเกษียณอายุอย่างมั่นคงก็ได้หลุดลอยไปพร้อมกับกระแสน้ำเสียแล้ว
“พวกเราสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง” มิเรียมกล่าว
มิเรียมและเบนนี เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของผู้สูงอายุในสหรัฐ ที่กำลังได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เมื่อโลกร้อนขึ้นส่งผลให้เกิดภัยพิบัติที่รุนแรงมากขึ้น และสร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนและทรัพย์สินของผู้คนมากมาย ขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายและค่าครองชีพอื่นๆ ที่พุ่งสูงขึ้น ก็ส่งผลกระทบทางการเงินต่อผู้สูงอายุที่มีรายได้คงที่ โดยเฉพาะในหมู่ผู้สูงอายุที่มีค่ารักษาพยาบาลที่ต้องแบกรับ
ปัญหาเหล่านี้ ถือเป็นภาระทางการเงินที่กำลังทำร้ายผู้สูงอายุอเมริกัน ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่เติบโตเร็วที่สุดของสหรัฐ โดยมีคาดการณ์ว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า สหรัฐอเมริกาจะมีจำนวนผู้สูงอายุมากกว่าเด็กแรกเกิดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
“วิกฤตไร้เสียงแบบนี้ส่งผลกระทบกับชีวิตของผู้สูงอายุชาวอเมริกันจำนวนมาก เราเห็นว่าปัญหาสภาพภูมิอากาศกำลังส่งผลกระทบกับพวกเขา และเราก็คาดการณ์ว่า ผู้สูงอายุจะเข้ามาร่วมในขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อต่อสู้กับปัญหาโลกร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ” แดเนียล อาริโกนี ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศ และผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับจุดร่วมกันของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศกับความชราในสหรัฐกล่าว
บ้านที่มิเรียมและเบนนีตั้งใจจะยกให้เป็นสมบัติของลูกหลาน ได้รับความเสียหายจากเฮอร์ริเคนหลายลูกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา น้ำท่วมที่เป็นผลจากเฮอร์ริเคนทำลายเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และทุกอย่างภายในบ้านหลังนี้ ทำให้พวกเขาต้องควักเงินซื้อทุกอย่างใหม่หมด แต่ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าและทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกปี ก็ทำให้สุดท้ายพวกเขาตัดสินใจขายบ้านที่พวกเขารักและออกมาเช่าบ้านอยู่
ทว่า ค่าเช่าบ้านในยุคนี้ก็สูงลิ่ว จนทำให้คู่รักวัย 66 และ 73 ปี ไม่มีเงินเหลือใช้ในยามเกษียณแบบที่พวกเขาเคยคิดไว้ และนั่นก็ทำให้พวกเขาต่างรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่สามารถยกบ้านหรือทรัพย์สินใดๆ ให้กับลูกหลานของพวกเขาได้อีกต่อไป
“เราไม่มีมรดก ไม่มีบ้าน เราไม่มีอะไรอีกแล้ว” มิเรียมกล่าวอย่างเจ็บปวด
อ้างอิง
Over 60? Climate change could be coming for your nest egg