Skip to main content

 

ไม่ว่าใครก็ตาม คงอยากเก็บความทรงจำดีๆ ที่มีต่อสมาชิกในครอบครัว หรือกับคนอันเป็นที่รักซึ่งได้ตายจากไป เอาไว้ตราบชั่วนิรันดร์กาล แม้ปัจจุบันวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถทำให้คนเรามีชีวิตที่เป็นอมตะได้ แต่ข่าวดีก็คือ นักวิทยาศาสตร์สามารถเปลี่ยนร่างกายหลังความตายของเราให้กลายเป็น “เพชร” ที่สะท้อนประกายระยิบระยับได้

ตามธรรมชาติ “เพชร” เป็นอัญมณีที่เกิดลึกลงไปใต้ชั้นผิวโลกราว 150 กม.ซึ่งเป็นที่ที่มีทั้งความดันและอุณหภูมิสูงสุดขั้ว ในช่วงหลายล้านปีที่ผ่านมา การปะทุและระเบิดของภูเขาไฟ ได้นำพาเอาเพชรเหล่านั้นขึ้นมาสู่ผิวโลก ซึ่งถูกค้นพบโดยมนุษย์และให้นิยามกับ “เพชร” ว่า เป็นสัญลักษณ์ของความรักอันเป็นนิรันดร์

มนุษย์สามารถสร้างเพชรได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในห้องทดลองในปี 1954 โดยบริษัทเจเนอรัลอิเล็กทริกส์ ด้วยการนำธาตุคาร์บอนมาทำให้อยู่ภายใต้สภาวะความดันและอุณหภูมิสูงจนเกิดเป็นเพชร ซึ่งต่อมา มีการนำเพชรที่ผลิตขึ้นจากมนุษย์มาขายเชิงพาณิชย์ในทศวรรษที่ 1980

จนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้ มีบริษัทบางแห่งเริ่มนำคาร์บอนในรูปของเถ้ากระดูกมาเข้าสู่กระบวนการผลิตให้เป็นเพชร เพื่อนำเสนอให้กับครอบครัวที่สูญเสียสมาชิกอันเป็นที่รัก ได้เก็บเอาชิ้นส่วนของคนรักไว้ใกล้ตัวในรูปของเครื่องประดับที่เป็นตัวแทนความรักอันเป็นนิรันดร

อะเดลลลี อาร์เชอร์ ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอบริษัท Eterneva ในเมืองออสติน รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา หนึ่งในไม่กี่บริษัทที่ดำเนินกิจการนี้ บอกว่า เพชรส่วนใหญ่ที่บริษัทของเธอทำนั้น เพื่อคนที่สูญเสียคนรักไปก่อนเวลาอันควร ด้วยการสร้างเพชรจากเถ้ากระดูกของคนที่เป็นลูกชาย ลูกสาว สามี และภรรยาของคนที่ยังมีชีวิตอยู่

ลูกค้าสามารถเลือกขนาด รูปร่าง หรือสีของเพชรที่จะทำขึ้น สำหรับเพชรสีเหลือง จะเติมไนโตรเจนเข้าไปเล็กน้อย ถ้าลูกค้าต้องการเพชรสีฟ้า บริษัทก็จะเติมโบรอนเข้าไป แต่ถ้าหากลูกค้าต้องการเพชรที่ไร้สี กระบวนการเปลี่ยนเป็นเพชรจะต้องไม่มีการปนเปื้อนของไนโตรเจนในอากาศเลย และหากลูกค้าต้องการเพชรสีแดง จะต้องเพิ่มกระบวนการฉายรังสีเพื่อกระตุ้นเวลา 3 สัปดาห์ และหากต้องการให้เป็นเพชรสีดำ กระบวนการนี้จะใช้เวลานานถึง 2 เดือน

ร่างกายของมนุษย์ มีคาร์บอนเป็นส่วนประกอบอยู่ราวร้อยละ 20 และเมื่อเสียชีวิตลง กระบวนการเผาร่างจะทำให้คาร์บอนจำนวนมากเปลี่ยนเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และเหลือคาร์บอนในส่วนที่เป็นเถ้ากระดูกเพียงเล็กน้อยเพียง 0.5 ถึง 2.5 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว

ในขั้นตอนการเปลี่ยนเถ้ากระดูกเป็นเพชรนั้น ต้องใช้เถ้ากระดูกอย่างน้อย 500 กรัม ในกรณีที่คาร์บอนจากเถ้ากระดูกไม่เพียงพอ สามารถนำเส้นผมมาผสมด้วยได้ในสัดส่วนเพียงเล็กน้อย เนื่องจากเส้นผมมีส่วนประกอบของคาร์บอนสูงถึงร้อยละ 50

จากนั้น จึงเข้าสู่กระบวนการที่ซับซ้อนเพื่อแยกเอาสารอนินทรีย์ออก เช่น สารประกอบออกไซด์ต่างๆ และธาตุเหล็ก เพื่อให้ได้เฉพาะคาร์บอน จากนั้นนำจึงคาร์บอนที่ได้ไปทำให้บริสุทธิ์ โดยการผ่านความร้อนที่อุณหภูมิ 2,500 ถึง 2,700 องศาเซลเซียส เพื่อเปลี่ยนการจัดเรียงตัวของโมเลกุลให้กลายเป็นแกรไฟท์ที่มีความบริสุทธ์ 99.99 เปอร์เซ็นต์ แล้วจึงนำไปสู่กระบวนการเปลี่ยนแกรไฟท์ให้เป็นเพชรที่ความดัน 60,000 บาร์ที่อุณหภูมิ 1,400 องศาเซลเซียส และจะได้ออกมาเป็นเพชรหยาบ ก่อนนำไปขัดให้เงางาม

สำหรับคนที่อยากเปลี่ยนเถ้ากระดูกของคนรักที่จากไปให้เป็นเพชร อาจต้องมีเงินเยอะสักหน่อย เพราะราคาในการผลิตนับว่าสูงลิ่ว เนื่องจากกระบวนการที่ซับซ้อนยุ่งยากและมีราคาแพง

ALGORDANZA หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตเพชรจากเถ้ากระดูก ตั้งราคาเริ่มต้นสำหรับการผลิตเพชรที่ 0.3 กะรัต ที่ 2,999 ดอลลาร์ หรือตกราว 1 แสนบาทเศษ ทางบริษัทอธิบายว่า ราคาที่สูงนั้นขึ้นกับน้ำหนักและขนาดของเพชรที่จะผลิตออกมา และการเจียระไน ซึ่งถ้าไม่เจียรราคาก็จะต่ำลง รวมไปถึงแหล่งที่มาของคาร์บอนที่จะนำไปเปลี่ยนเป็นเพชร เช่น จากเส้นผม หรือเถ้ากระดูก หรือทั้งสองอย่างผสมกัน


อ้างอิง
After You Die, Your Body Could Be Turned Into a Diamond
The creation of a memorial diamond