สำหรับคนพอรู้เบสิคเรื่องสิทธิแรงงาน ทุกคนก็น่าจะรู้ว่าการรวมตัวกันเป็นองค์กรแรงงานหรือ "สหภาพ" เป็นสิทธิพื้นฐานขอแรงงานมาอย่างยาวนาน
แต่ทั้งที่เป็นแบบนี้ แรงงานในหลายประเทศก็ไม่ได้รวมตัวกันเพื่อทำการต่อรองเรื่องค่าจ้าง หรือสภาวะการทำงานใดๆ หรือพูดให้ตรงก็คือ เราอาจไม่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในหัวเลย การเข้าไปทำงานที่ไหน เราก็จะไม่มีคำถามว่าบริษัทนี้มีสหภาพที่แข็งแรงหรือไม่
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? ถ้าจะตอบสั้นๆ ง่ายๆ ก็ต้องตอบว่าเพราะเราได้รับอิทธิพลจากสหรัฐอเมริกา และจริงๆ ชาติอื่นๆ ที่ส่งอิทธิพลกับสังคมไทยยุคปัจจุบัน อย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ก็รับอิทธิพลจากสหรัฐอเมริกาทั้งนั้น โดยทุกประเทศที่ว่ามานั้น มีตัวเลขในการเข้าร่วมกับสหภาพของแรงงานค่อนข้างต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศในยุโรปทั้งหมด
พูดง่ายๆ เรา "นำเข้า" ความอ่อนแอของสหภาพแรงงานมาจากสหรัฐอเมริกานี่เอง แต่ถ้าจะถามต่อว่า ทำไมสหภาพแรงงานในสหรัฐอเมริกาถึงอ่อนแอ อันนี้ต้องอธิบายยาว
ธุรกิจทำลายขบวนการแรงงานในสหรัฐอเมริกา
ในอเมริกา "ธุรกิจทำลายขบวนการแรงงาน" ปัจจุบันมีมูลค่าหลายร้อยล้านเหรียญ เป็นธุรกิจที่ซับซ้อนแบบเป็นหนังสือได้เล่มหนึ่ง ซึ่งความน่าสนใจคือ เหล่าบริษัทในอเมริกายอมเทเงินไปให้อุตสาหกรรมพวกนี้เป็นล้านๆ เหรียญ เพื่อให้ "สหภาพแรงงาน" ไม่ถูกตั้งขึ้นในบริษัทของตน ในขณะที่ยุโรป ธุรกิจแบบนี้น่าจะไม่มีให้เห็น และบริษัทต่างๆ ก็มองว่าการมี "สหภาพแรงงาน" ในบริษัทเป็นเรื่องปกติมากๆ
นี่คือความต่างที่เห็นได้ชัดๆ แต่ต้นกำเนิดของความต่างนั้นย้อนไปได้เป็นร้อยปี
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 อเมริกากับยุโรปนั้นไม่มีความต่างกันด้านขบวนการแรงงานมากนัก สหภาพแรงงานถูกตั้งขึ้นอย่างกว้างขวาง การประท้วงนัดหยุดงานทั้งแบบรุนแรงและไม่รุนแรงมีอยู่ทั่วไป และแน่นอนว่าไม่มี "นายทุน" ที่ไหนแฮปปี้
สิ่งที่อเมริกาต่างจากยุโรปตั้งแต่ยุคนั้นคือ มีพวกธุรกิจเพื่อทำลายขบวนการแรงงานแบบเป็นล่ำเป็นสันและซับซ้อน มีการจ้างบริษัทรักษาความปลอดภัยเอกชนมา "สลายการชุมนุม" ซึ่งนั่นมีตั้งแต่การแฝงตัวไปใช้ความรุนแรงทำลายความชอบธรรมของการชุมนุม ไปจนถึงการใช้ความรุนแรงดิบๆ ตรงๆ ซึ่งพวกนี้หลังๆ ก็มีเทคนิคที่ละมุนละม่อมขึ้นแบบแฝงตัวเข้่าไปยุยงในสหภาพ รวมถึงส่งคนไปปั่นหัวครอบครัวของคนในสหภาพว่าสหภาพนั้นทำลายครอบครัว
ย้ำว่านี่ทำเป็น "ธุรกิจ" แบบมีบริษัทรับจ้างทำสิ่งเหล่านี้จริงจังมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 แล้ว และพวกบริษัทไม่มีความจำเป็นต้องจ้าง "นักเลง" มาทำลายการชุมนุมแรงงาน เพราะมันมีบริษัทที่จัดการเรื่องพวกนี้แบบ "มืออาชีพ"
ความโหดกว่านั้นก็คือ เวลาคนงานหยุดงานประท้วง จะมีพวกคนงานที่ไม่เห็นด้วยกับการประท้วง และก็มีการตั้งบริษัทมาจัดจ้างทำงานแทนพวกคนงานที่ประท้วงด้วย ซึ่งก็แน่นอน เป้าหมายของพวกนี้คือ จะทำให้การนัดหยุดงานประท้วงไร้ความหมาย
จริงๆ ยุโรปก็มีอะไรแบบนี้แต่ในอัตราที่ต่างกัน แต่ความต่างจริงๆ คืออเมริกา "ภาครัฐ" นั้นมีการหนุนหลังนายจ้างในการ "ปราบปรามสหภาพ" มาโดยตลอด
ประเด็นนี้เกี่ยวกับเหตุการณ์และกฎหมายจำนวนมหาศาล แต่ถ้าจะอธิบายให้สั้นและง่ายก็คือ ในสหรัฐอเมริกาบรรยากาศของการ "กลัวคอมมิวนิสต์" มีมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน และนี่เลยทำให้รัฐบาลกลางใช้อำนาจในการยุติการชุมนุมของแรงงานมาตลอด และพอแรงงานต่อสู้ว่าการชุมนุมเป็นสิทธิที่ชอบโดยรัฐธรรมนูญ สุดท้ายเรื่องไปถึงศาลสูงสุดและศาลก็ยืนยันว่ารัฐมีอำนาจยุติการชุมนุมได้ในปี 1895 และอำนาจในการยุติการชุมนุมของรัฐแบบนี้ก็ดำเนินมายาวๆ ถึง Norris-La Guardia Act ในปี 1932 ที่ยุติอำนาจรัฐในการยุติการชุมนุม "โดยสันติ" ของแรงงาน
แต่นี่หมายความว่า ในตอนต้นศตวรรษที่ 20 ทั้งบริษัทและรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา รวมหัวกันทำลายขบวนการแบบหนักๆ ซึ่งในเหตุการณ์นองเลือดหลายครั้ง จะเห็นว่า "ทหาร" มีเอี่ยวในการยุติการชุมนุมของแรงงานด้วย ไม่ใช่แค่พวกหน่วยรักษาความปลอดภัยเอกชนที่บริษัทจ้างมา
‘ความกลัวคอมมิวนิสต์’ ทำให้รัฐเกลียด-กลัวขบวนการแรงงาน
ความน่าสนคือ ในยุคเดียวกันยุโรปเลือกเดินไปคนละทางเลย ขบวนการแรงงานแข็งแรงมากในยุโรป ผลักดันให้เกิดรัฐสวัสดิการยุคแรกไม่พอ ยังผลักดันให้เกิดกฎหมายต่างๆ ที่จะ "ให้อำนาจ" แรงงานด้วย เช่น กฎหมายจำพวกป้องกันนายจ้างจะทำลายขบวนการแรงงานสารพัด ตั้งแต่ห้ามการขู่ตรงๆ ไปจนถึงการห้ามจ้างคนงานภายนอกมาทำงานแทนแรงงานช่วงที่มีการประท้วงหยุดงานด้วย
ทั้งหมดไม่เกิดในอเมริกา ทุกวันนี้ในอเมริกา การเรียกลูกจ้างไปขู่ว่าถ้าเข้าร่วมสหภาพจะโดนไล่ออกหรือจะเสียประโยชน์ต่างๆ เป็นเรื่องปกติ รวมถึงการว่าจ้างคนมาทำงานแทนช่วงประท้วงหยุดงานก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน ทั้งๆ ที่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งปกติเลยในยุโรป
ถามว่าอะไรคือความต่าง ถ้าจะอธิบายด้วยปัจจัยใหญ่ก็คือ "ความกลัวคอมมิวนิสต์" ที่เป็นรากฐานของความคิดแบบอเมริกันมาตลอดศตวรรษที่ 20 น่ะแหละ ด้วยบรรยากาศที่ทำให้เกิดการ "ล่าแม่มด" กันแบบเปิดเผยในหน่วยงานรัฐ ไม่แปลกอะไรที่รัฐเดียวกันนี้จะเกลียดและกลัวขบวนการแรงงานมากๆ แบบ "ไฟเขียว" ทางกฎหมายให้เอกชนจัดการได้
จะบอกว่า มันกลายมาเป็น "นิสัยประจำชาติ" ก็ได้ เพราะตอนที่ ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ชนะเลือกตั้งมาไม่นาน ในปี 1981 วีรกรรมของเค้าอย่างหนึ่งคือ การไล่แรงงานด้านการบินของรัฐที่ประท้วงนัดหยุดงานออกเกิน 10,000 คน และก็มีการว่าจ้างคนนอกมาทำงานแทนแรงงานพวกนี้โดยทันที
นั่นคือตอนที่เป็นช่วงปลายสงครามเย็น ซึ่งทุนนิยมชนะแน่ๆ แล้ว และความกลัวคอมมิวนิสต์แทบไม่มีเหลือแล้ว สิ่งที่เรแกนทำก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการกลัวคอมมิวนิสต์ แต่เรแกนทำเพราะมันเป็นเรื่องปกติที่จะทำ ทำเพราะมันคือ "วิธีอเมริกัน" ซึ่งคนยุโรปเห็นก็น่าจะช็อคมาก เพราะการที่บริษัทในยุโรปจะไล่คนออกทั้งแผง เพราะลุกขึ้นมาประท้วงเพื่อสิทธิแรงงานนั้น เป็นสิ่งที่คนยุโรปปลายศตวรรษที่ 20 จินตนาการไม่ออกแน่ๆ
แต่ในอเมริกา รัฐสามารถทำแบบนี้ได้อย่างหน้าตาเฉย โดยคนที่เป็นประธานาธิบดีที่ชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์มา และทำไปแล้ว เลือกตั้งอีกรอบก็ยังชนะแบบแลนด์สไลด์อีก ทั้งหมดมันกับเหมือนสังคมอเมริกันได้ยืนยันแล้วว่า ของพวกนี้คือสิ่งที่ "รับได้" หรือกระทั่ง "เป็นเรื่องปกติ"
ส่งออก ‘วิธีคิดแบบอเมริกัน’ ไปทั่วโลก
แน่อนว่า "วิธีคิดแบบอเมริกัน" แบบนี้ส่งไปทั่วโลกยุคสงครามเย็น เช่นเดียวกับ "วิถีอเมริกัน" อื่นๆ และเราจะเห็นเลยว่า พวกประเทศที่รัฐรับอิทธิพลจากอเมริกัน (และอังกฤษ) ไปมากๆ จะมองว่าสหภาพแรงงานเป็นสิ่งแปลกปลอมของสังคม ที่เอกชนมีสิทธิชอบธรรมที่จะปราบปราม
ดังนั้น ถ้าเราจะพูดถึงเรื่องภาวะขนาดแคลนขบวนการแรงงานนอกยุโรป จริงๆ เราไม่สามารถจะพูดถึงพลวัตภายในของประเทศต่างๆ โดยไม่พูดถึงอิทธิพลอเมริกันได้เลย เพราะจริงๆ อเมริกันก็ไม่ได้ส่งออกแค่แนวคิดว่า สหภาพแรงงานเป็นสิ่งแปลกปลอมเท่านั้น แต่ในยุคที่ขบวนการแรงงานในประเทศกำลังพัฒนานั้นพัวพันกับคอมมิวนิสต์ยุคพีคๆ ของสงครามเย็น อเมริกาก็มีส่วนในการ "ทำลาย" ขบวนการแรงงานเหล่านี้ไม่มากก็น้อยด้วย
ก็แน่นอนอีกว่า อเมริกาประสบความสำเร็จล้นหลาม ประเทศจำนวนไม่น้อยที่รับอิทธิพลอเมริกันไปมากๆ ขบวนการแรงงานตายสนิท ของพวกนี้ไม่อยู่ในความคิดของผู้คน และบริษัทในประเทศเหล่านี้ก็ไม่ต้องเสียเงินเป็นล้านๆ จ้างคนมาทำลายขบวนการแรงงาน เพราะผู้คนในสังคมไม่คิดอยู่แล้วว่ามันเป็นสิ่งที่ควรจะมีอยู่
อ้างอิง
History of union busting in the United States
Strikebreaker