Skip to main content

 

Slow Shopping เทรนด์ใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจในโลกออนไลน์ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คนรุ่นใหม่เลือกใช้เมื่อต้องการซื้อของ เพื่อช่วยประหยัดเงินในกระเป๋า และไม่ต้องเกิดความรู้สึกผิดตามมา

แพลตฟอร์มช็อปปิ้งต่างๆ ที่เต็มไปด้วยโปรโมชั่นลดราคา เป็นสิ่งที่ยั่วตายั่วใจคนจำนวนมาก และกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคมีพฤติกรรมการซื้ออย่างรวดเร็ว เห็นอะไรกดใส่ตะกร้า อะไรถูกใจก็กดซื้อ พูดได้ไม่เกินจริงว่า เงินเดือนเข้าบัญชีวันนี้ ก็สามารถช็อปปิ้งจนเงินหมดได้ภายในคืนนั้นเลย และนำไปสู่ปัญหาเรื่องการเงินอย่างไม่น่าจะเกิดขึ้น

“การช็อปปิ้งออนไลน์ทำให้คนซื้อสินค้าได้ง่ายกว่าที่เคย ร้านค้าต่างๆ อยู่ใกล้เพียงปลายนิ้วสัมผัส ในช่วงเวลานั้น การซื้อของที่ตัวเองอยากได้ ตอนที่กำลังต้องการ ก็ทำให้คุณรู้สึกดีอยู่หรอก แต่หลังจากนั้น คือ ความรู้สึกของความที่ว่าไม่น่าเลย เป็นความเสียใจที่ค่อยๆ ซึมเข้าไปในหัวใจ” แจ๊ค โฮวาร์ด หัวหน้าฝ่ายการเงินของ Ally Financial กล่าว

การช็อปปิิ้งแบบตามใจฉัน หรือเห็นอะไรก็ต้องซื้อ อาจมีความเกี่ยวข้องกับแรงกดดันทางสังคม ความรู้สึกกลัวว่าจะตกเทรนด์ (FOMO) หรือความต้องการยกสถานะตัวเองด้วยสัญลักษณ์ของแบรนด์ รวมถึงวัฒนธรรมการให้รางวัลตัวเอง และเมื่อคนมากมายกำลังมีพฤติกรรมการช็อปปิ้งแบบตามใจฉัน จนสร้างความเสียหายให้กับกระเป๋าตังค์ และบัญชีเงินเก็บของตัวเองอย่างร้ายแรง ผู้บริโภคจำนวนมาก จึงหาแนวทางที่จะช่วยประหยัดเงินและต่อสู้กับปัญหาดังกล่าว เกิดเป็นเทรนด์ที่เรียกว่า Slow Shopping ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในหมู่ชาวเน็ตทั่วโลก

Slow Shopping คือ เทรนด์การช็อปปิ้งที่ผลักดันให้คนมีสติมากขึ้นในการใช้เงินและการซื้อสินค้า แทนที่จะเร่งรีบซื้อสินค้าที่กำลังออกโปรโมชั่น หรือสินค้าแบบ “ของมันต้องมี” เทรนด์ช็อปปิ้งดังกล่าว คือ การพยายามบอกให้ผู้ซื้อค่อยๆ คิดอย่างรอบคอบ เพื่อตัดสินใจซื้อได้ดีที่สุดตามงบประมาณที่ตัวเองมี ซึ่งการตั้งสติและให้เวลาตัวเองคิดนี้ จะทำให้ผู้ซื้อมีเวลาได้ประเมินความต้องการของตัวเอง ต้นทุน และความคุ้มค่าของสินค้าที่ตัวเองเลือกซื้อ

“การทำตามเทรนด์นี้จะช่วยให้คุณมีเวลาในการเปรียบเทียบราคา มองหาคูปอง รอให้มีดีลลดราคา และยังช่วยประหยัดเงินอีกด้วย นอกจากนี้ Slow Shopping ยังช่วยให้คุณสามารถจัดเวลาการซื้อของต่างๆ ได้เพื่อรับข้อเสนอที่ดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคุณรู้ล่วงหน้าว่าของบางอย่างจะวางขายเมื่อไร คุณก็สามารถเตรียมตัวล่วงหน้าได้ว่าของเหล่านั้นจะหมดฤดูกาลเมื่อไร และตอนนั้นมันก็จะมีราคาลดลง” แอนเดรีย โวร็อช ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน กล่าว

เช่นเดียวกับ โบล่า โซกันบิ ผู้ก่อตั้ง Clever Girl Finance ที่กล่าวว่า “การช็อปปิ้งแบบ Slow Shopping คือ ต้องรอบคอบและมีสติมากขึ้น โดยการซื้อสินค้าอย่างรอบคอบโดยให้เวลาตัวเองได้ประเมินเหตุผลในการซื้อ ช่วยกำจัดการซื้อที่หุนหันพลันแล่น ในทางกลับกันก็ช่วยลดความเสียใจและช่วยประหยัดเงินอีกด้วย”

การศึกษาของ Qualtrics for Credit Karma ในปี 2023 พบว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามเจน Z และเจนมิลเลเนียล ระบุว่าตัวเองเป็นคนใช้เงินตามใจตัวเอง โดย 2 ใน 3 มีหนี้สินเป็นจำนวนมากเนื่องจากการใช้จ่ายตามอารมณ์ นอกจากนี้ ในงานศึกษาชิ้นเดียวกันนี้ยังพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบครึ่งหนึ่งระบุว่า พวกเขารู้สึกผิดเมื่อใช้จ่ายตามอารมณ์ และ 60% ต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางการเงินของตัวเอง

เอริกา คัลเบิร์ก ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินส่วนบุคคลและผู้ก่อตั้ง Erika.com ชี้ว่า “ประโยชน์ของ Slow Shopping คือ การประหยัดเงิน และช่วยให้คุณหลุดพ้นจากความเครียด เพราะการใช้เงินไปกับการซื้อของที่ไม่จำเป็น อาจนำไปสู่ความเครียดทางการเงินมากกว่าเดิม หากคุณมีปัญหาเรื่องการเก็บออม ใช้หนี้ หรือการตั้งงบให้กับตัวเอง”

อย่างไรก็ตาม Slow Shopping ก็มีข้อเสียที่ต้องระวังเช่นกัน เพราะการใช้เวลาคิดอย่างรอบคอบก่อนจะซื้อสินค้าสักอย่าง อาจใช้เวลานานและทำให้ผู้บริโภคกลายเป็นคนคิดมาก อาจทำให้พลาดการลดราคาหรือข้อเสนอพิเศษตามกรอบเวลาที่จำกัด ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคต้องจ่ายเงินมากขึ้นเมื่อตัดสินใจซื้อในที่สุด  

“แผนการเงินที่ได้ผลกับคนๆ หนึ่ง อาจไม่ได้ผลกับคนอื่นเสมอไป ดังนั้น สิ่งสำคัญคือคุณต้องรู้จักวางแผนเรื่องการใช้จ่ายและการออมในแบบของคุณ ท้ายที่สุดแล้วคุณควรมุุ่งเน้นไปที่การใช้เงินที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด แต่ Slow Shopping ก็เป็นกรอบคิดที่เป็นประโยชน์ที่หลายคนนำไปใช้ได้” โวร็อชกล่าวปิดท้าย


อ้างอิง
What Is 'Slow Shopping'?
What is the ‘slow shopping’ trend?