Skip to main content

Rocket Media Lab ชวนสำรวจค่าแรงขั้นต่ำทั่วโลกในช่วงปีนี้และปีที่ผ่านมา ที่แม้ว่าทั่วโลกจะประสบปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 เหมือนกัน ว่ามีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำกันบ้างไหม หรือมีแต่ประเทศไทยที่ไม่ขึ้น 

โควิดมา เศรษฐกิจตกต่ำ แล้วค่าแรงขึ้นบ้างไหม? 

ประเทศ/ดินแดน ที่ประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปี 2022 มีจำนวน 61 แห่ง จาก 199 แห่งที่สำรวจ แบ่งเป็นประเทศที่ประกาศขึ้นเฉพาะในปี 2022 จำนวน 16 แห่ง และประเทศที่มีการขึ้นค่าแรงทั้งในปี 2021 และในปี 2022 จำนวน 45 แห่ง

หากพิจารณาของประเทศที่ประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเฉพาะในปี 2022 จะพบว่ากระจายตัวกันไปในทุกทวีป

ในขณะที่หากดูประเทศที่มีการประกาศขึ้นค่าแรงในปี 2022 ทั้งหมดจะพบว่า เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี โปรตุเกส สหราชอาณาจักร ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศในแถบยุโรป อย่างในกรณีของเยอรมนี เรียกได้ว่าในปี 2022 นี้มีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำสองครั้ง โดยครั้งแรกมีผล 1 มกราคม ที่ผ่านมา ค่าแรงขั้นต่ำขึ้นเป็น 9.82 ยูโร หรือ 374.13 บาทต่อชั่วโมง จากเดิมคือ 9.60 ยูโรหรือ 358.36 บาทต่อชั่วโมงในปี 2021 (เพิ่มขึ้นมา 22 เซนต์) หรือ 3.64% นอกจากนี้รัฐบาลเยอรมันยังประกาศอีกว่า จะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอีกครั้งเป็น 10.45 ยูโรในวันที่ 1 กรกฎาคม 2022 

ด้านเอเชียมีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปี 2022 เช่นเดียวกัน เช่น กัมพูชา จีน (บางมณฑล) อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ฯลฯ อย่างในกรณีของประเทศจีนในปี 2022 มีสามมณฑลที่ประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ได้แก่ ฉงชิ่งและฝูเจี้ยน ขึ้นเป็น 21 หยวนต่อชั่วโมง และเหอหนาน ขึ้นเป็น 19.6 หยวน ต่อชั่วโมง 

ค่าแรงขั้นต่ำ

เมื่อพิจารณาประเทศที่ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั้งในปี 2022 และปี 2021 จะพบว่ามีมากถึง 45 แห่ง ด้วยกัน เช่น ตุรกี ไต้หวัน สเปน เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ เนเธอร์แลนด์ เม็กซิโก กานา อียิปต์ ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศในแถบยุโรป อย่างในกรณีของโคลอมเบีย ประกาศขึ้นค่าแรงเป็น 1,000,000 เปโซโคลอมเบีย ต่อเดือน ซึ่งถือว่าขึ้นสูงสุดในรอบ 40 ปี โดยเพิ่มมา 11.18% อย่างไรก็ตาม เงินเดือนในโคลอมเบียก็ยังคงต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค เช่น อุรุกวัยซึ่งอยู่ที่ประมาณ 406 ดอลลาร์ (13,386.23 บาท) ปารากวัย 335 ดอลลาร์ (11,045.29 บาท) และโบลิเวีย 314 ดอลลาร์ (10,352.89 บาท) 

ส่วนประเทศที่ไม่ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในรอบปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน พบว่ามีจำนวน 84 แห่งจาก 199 แห่งที่สำรวจ ส่วนใหญ่อยู่ในแถบแอฟริกา เช่น อูกันดา โตโก เวียดนาม ซูดาน ฟิลิปปินส์ เปรู เกาหลีเหนือ พม่า มาเลเซีย รวมไปถึงประเทศไทย โดยประเทศที่ไม่ได้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมาอย่างยาวนานที่สุดก็คือโคโซโว ที่ประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำล่าสุดในปี 2011 อยู่ที่ชั่วโมงละ 1.06 ยูโร (40.48 บาท) ถือว่าเป็นประเทศที่ค่าแรงขั้นต่ำต่ำที่สุดในยุโรป นอกจากนี้ยังมีเบลิซ ก็ไม่ขึ้นมาตั้งแต่ปี 2012 ซึ่งค่าแรงต่อชั่วโมงอยู่ที่ 3.3 ดอลลาร์เบลีซ (53.52 บาท) เช่นเดียวกับภูฏานที่ไม่ขึ้นค่าแรงมาตั้งแต่ปี 2014 ยังคงค่าแรงไว้ที่ชั่วโมงละ 23.43 งุลตรัมภูฏาน (10.18 บาท) สาธารณรัฐกินีก็คงค่าแรงไว้ตั้งแต่ปี 2015 โดยอยู่ที่ชั่วโมงละ 2,291.67 ฟรังก์กินี (8.29 บาท) ในขณะเดียวกันก็มีประเทศที่เพิ่งจะขึ้นไปในปี 2020 เช่น มาเลเซีย ชั่วโมงละ 5.77 ริงกิตมาเลเซีย (45.04 บาท)  เวียดนาม ชั่วโมงละ 27,625 ดงเวียดนาม (38.83 บาท) เป็นต้น

ค่าแรงขั้นต่ำ

และประเทศที่ไม่มีการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ 22 ประเทศ เช่น เดนมาร์ก ฟินแลนด์ สวีเดน อิตาลี ลิกเทนสไตน์ สิงคโปร์ ฯลฯ ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการขึ้นค่าแรง แต่จะเป็นการกำหนดกันเองบนความเสมอภาคระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง โดยที่รัฐจะไม่เข้าไปแทรกแซง หรืออย่างในกรณีของสิงคโปร์ แม้จะไม่ได้กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ แต่มีการประกันราคาสำหรับบางอาชีพ เช่น พนักงานทำความสะอาดต้องได้รับค่าแรงขั้นต่ำต่อเดือนคือ 1,274 ดอลลาร์สิงคโปร์ นอกจากนี้ยังมีการออกกฎหมายปรับค่าแรงแบบขั้นบันไดทุกปีไว้อีกด้วย 

ค่าแรงขั้นต่ำไทย ต่ำไปไหม ทำไมไม่เท่ากัน  

ค่าแรงขั้นต่ำ หมายถึงจํานวนเงินค่าตอบแทนแบบต่ำสุด ที่นายจ้างต้องจ่ายเงินให้ลูกจ้างสําหรับการทำงาน ซึ่งโดยมากกำหนดโดยรัฐ ในที่นี้จะเรียกว่าค่าแรงขั้นต่ำและแน่นอนว่าค่าแรงขั้นต่ำส่งผลดีต่อลูกจ้างซึ่งจะได้รับการคุ้มครอง ปกป้องจากการแสวงหาประโยชน์ของนายจ้าง รวมถึงได้รับค่าจ้างที่เป็นธรรม โดยนิวซีแลนด์เป็นประเทศแรกที่มีกฎหมายค่าจ้างขั้นต่ำใน ค.ศ. 1894

ประเทศไทย แนวคิดเรื่องค่าแรงขั้นต่ำมีจุดประสงค์คือ เพื่อให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้าง เพื่อให้ได้ค่าตอบแทนที่เป็นธรรม ลูกจ้างสามารถดำรงชีพอยู่เหนือระดับความยากจนได้ ซึ่งค่าแรงขั้นต่ำกำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายแก่ลูกจ้างทุกคน ไม่ว่าจะมีสัญชาติ ศาสนา หรือเพศใดก็ตาม ครอบคลุมไปถึงลูกจ้างต่างชาติ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้บังคับใช้แก่ลูกจ้างในภาคราชการและรัฐวิสาหกิจแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังระบุว่าค่าแรงขั้นต่ำมีให้เพียงพอสำหรับดำรงชีพคนเดียว ไม่รวมครอบครัว ขณะที่ตามความหมายของสากลระบุว่าต้องเพียงพอให้คนงานเลี้ยงดูภรรยาและบุตรอีก 2 คนได้ 

ประเทศไทยมีการประกาศกำหนดค่าแรงขั้นต่ำมาตั้งแต่ พ.ศ. 2516 โดยเริ่มจาก 12 บาทในรัฐบาลพลเอกถนอม กิตติขจร และล่าสุดอยู่ที่ 331 บาท (กรุงเทพฯ และปริมณฑล) ซึ่งขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2563 ในรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งปัจจุบันมีการถกเถียงกันว่าค่าแรงขั้นต่ำในประเทศไทยนั้นควรปรับขึ้นได้หรือยัง และควรปรับเป็นเท่าไร เท่าไรถึงจะเหมาะสมกับค่าครองชีพที่นับวันยิ่งสูงขึ้น ดังเช่นปรากฏการณ์ หมูแพง น้ำมันแพง ข้าวของขึ้นราคาที่เกิดขึ้นในตอนนี้

จากการสัมภาษณ์บุญยืน สุขใหม่ นักสหภาพแรงงาน ในประเด็นเรื่องการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ เขามองว่า “สมมติบางคนอาจจะจบมัธยมปลายมาแล้วเริ่มทำงาน หรือบางคนอาจจะไม่ได้เรียนมา แล้วมาทำงาน ทำไประยะหนึ่งมีสกิลเพิ่มขึ้น คนเหล่านั้นก็ไม่ควรจะถูกนิยามด้วยคำว่าค่าแรงขั้นต่ำ คือตอนที่เรายังไม่มีสกิลก็มีค่าแรงเริ่มต้นในการทำงานแต่ทุกวันนี้มันกลายเป็นว่าค่าแรงขั้นต่ำมันถูกบังคับใช้ในทุกคน เป็นเหมาค่าแรง เป็น subcontract สิบกว่าปีก็ยังใช้ค่าแรงขั้นต่ำอยู่ ซึ่งจริงๆ แล้วมันผิดกับนิยามความหมายของคำว่าค่าจ้างขั้นต่ำเป็นค่าจ้างพื้นฐาน สำหรับผู้ที่เพิ่งเข้ามาในการประกอบวิชาชีพในระบบแรงงานเบื้องต้น” 

ในขณะที่ ศุภชัย ศรีสุชาติ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และที่ปรึกษาคณะกรรมการค่าจ้าง ให้ความเห็นส่วนตัวว่า “ค่าแรงขั้นต่ำโดยนิยามของบ้านเรา ออกแบบไว้สำหรับแรงงานแค่คนเดียว ให้ใช้พอที่จะดูแลตัวเองตามอัตภาพ แต่ไม่ได้หมายความว่าถ้าเขามีครอบครัว เขาจะเพียงพอเลี้ยงครอบครัว ในแง่ของการมีครอบครัว เราอาจมีข้อสมมติฐานบางตัวว่าครอบครัวก็ต้องทำงานด้วยนะ หารายได้เข้ามาด้วย เพราะฉะนั้นตัวค่าแรงขั้นต่ำบ้านเรา จึงถูกตั้งคำถามว่าทำไมไม่เยอะเหมือนกับที่องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) แนะนำ หรือว่าทำไมไม่เป็น 500 - 600 บาท เพราะว่าอันนั้นเขามีการคิดคำนึงถึงส่วนที่แรงงานมีครอบครัวไปด้วย แต่ในจำนวนสามร้อยกว่าบาทที่เราคิดมา มันก็จะมีในส่วนที่เราเรียกว่าเป็นการดูแลชีวิตตามอัตภาพ”  

ค่าแรงขั้นต่ำ

หากพิจารณาดูจากข้อมูลจะพบว่า การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในประเทศไทยนั้นมีความไม่แน่นอน และในแต่ละพื้นที่ไม่เท่ากัน รวมไปถึงบางครั้งก็มีการขึ้นบางพื้นที่ไม่ขึ้นบางพื้นที่ อย่างในกรุงเทพมหานคร มีการขึ้นในปีเดียวสองครั้งในช่วงรัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์, รัฐบาลชาติชาย ชุณหะวัณ และรัฐบาลชวน หลีกภัย แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีบางช่วงเวลาที่ไม่มีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในกรุงเทพมหานครเลย เช่นช่วงปี พ.ศ. 2544-2551 อันเป็นช่วงรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร โดยให้เหตุผลว่าค่าแรงขั้นต่ำในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลนั้นสูงอยู่แล้ว จึงขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในจังหวัดอื่นแทน อาทิ ชลบุรี ได้ 146 บาท (เดิม 143 บาท) อ่างทองได้ 138 บาท (เดิม 133 บาท) นอกจากนี้พบว่าการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยอยู่ในยุคของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยเพิ่มจาก 215 บาท เป็น 300 บาท

ทั้งนี้ บุญยืน มองเรื่องค่าแรงขั้นต่ำที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ว่า “ในยุคที่ค่าแรงเท่ากันทั่วประเทศ นึกภาพว่าซื้อของในเซเว่นที่เชียงใหม่กับที่สุไหงโกลกมันก็ราคาเท่ากัน แล้วทำไมค่าแรงถึงไม่เท่ากัน ในยุคที่ค่าแรง 300 บาทเท่ากันทั่วประเทศ ถามว่านายจ้างเจ๊งไหม ก็ไม่เจ๊ง ก็อยู่ได้ไง แล้วมาบอกว่าวันนี้ขึ้นอีกมันจะเจ๊งเหรอ”

"ถ้าจะบอกว่าใช้เกณฑ์ GDP จังหวัด ระยองต้องได้ค่าจ้างเยอะที่สุด แต่ในวันนี้ค่าจ้างขั้นต่ำของระยอง 335 บาท ถูกกว่าชลบุรีอีก ทั้งที่ระยองมี GDP สูงกว่าก็ควรจะได้ค่าแรงสูงที่สุด คุณอ้างว่าเอา GDP เอาเงินเฟ้อมาคิด แต่ในทางปฏิบัติมันไม่สมเหตุสมผล มันไม่เป็นไปตามตรรกะอยู่ดี"

ขณะที่ศุภชัย อธิบายว่า คณะกรรมการค่าจ้างขั้นต่ำมีสองระดับใหญ่ คือที่เป็นระดับชาติแล้วก็เป็นของจังหวัด จังหวัดมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กับอีกส่วนหนึ่งเป็นระบบที่เราเรียกว่าไตรภาคี ก็จะมีอีกสองกลุ่มก็คือกลุ่มนายจ้างที่เป็นผู้แทนนายจ้าง แล้วก็กลุ่มที่เป็นผู้แทนลูกจ้างโดยหลักของจังหวัดก็จะเสนอตัวเลขมาที่ส่วนกลาง อนุฯ วิชาการส่วนกลางก็จะทำการกลั่นกรองว่าตัวเลขตัวนั้นเมื่อมองในภาพรวมแล้วเหมาะสมไหม

"เราก็มีสูตรที่เป็นสูตรกลางต้องเรียนว่าสูตรกลาง คิดมาเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว โดยตัวผมกับหม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ สมัยที่เป็นปลัดกระทรวงแรงงานเเล้วก็ได้สูตรขึ้นมาสูตรหนึ่งในการปรับขึ้น นอกจากนี้ก็มีทีมของสภาพัฒน์ฯ กับแบงก์ชาติมาช่วยกัน สูตรที่ทำการปรับตรงนั้นมันดูในสภาวะความเจริญเติบโตของจังหวัด ว่าในจังหวัดหนึ่งมีการเติบโตมากน้อยแค่ไหน ดูเรื่องค่าครองชีพกับอัตราเงินเฟ้อ ดูเรื่องของความสามารถในการผลิตสินค้าและบริการที่เรียกว่าเป็นผลิตภาพของแรงงาน จากสูตรนั้นทำให้แต่ละจังหวัดก็จะมีตัวเลขที่ต่างกัน"

อย่างไรก็ตาม ศุภชัย แสดงความเห็นส่วนตัวว่า ถ้าจังหวัดอยู่ในบริเวณละแวกเดียวกัน ตัวเลขค่าแรงต่างกันเยอะมาก ก็จะเกิดการเคลื่อนย้ายแรงงาน อีกทั้งค่าครองชีพแต่ละจังหวัดแตกต่างกัน การเติบโตก็ต่างกัน การจะขึ้นในอัตราเดียวกันหมด ก็อาจจะสร้างความสูญเสียอะไรบางอย่างได้เหมือนกัน จังหวัดใดมีโครงสร้างเป็นภาคเกษตรเยอะ การขึ้นค่าจ้างก็อาจจะไม่เหมือนภาคอุตสาหกรรม

ทำไมค่าแรงขั้นต่ำของไทยถึงขึ้นยากนัก

กระบวนการการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของไทยต้องผ่านคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งเป็นองค์กรไตรภาคี โดยคณะกรรมการเหล่านี้มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐมนตรีตามพระราชบัญญัติคุ้มครอง แรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2551 มีปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานกรรมการ มีผู้แทนฝ่ายรัฐบาล 4 คน ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง และผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง ฝ่ายละ 5 คน รวม 15 คน แน่นอนว่าทุกครั้งทีมีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ หรือเพิ่มค่าแรง จะต้องเห็นชอบ 2 ใน 3 เสียง จึงเกิดการตั้งคำถามว่าในกระบวนการนี้มีความเสมอภาคหรือไม่

บุญยืนให้ความเห็นเรื่องนี้ว่า “องค์กรไตรภาคี สามฝ่ายต้องมีเสียงเท่าเทียมกัน แล้วความรู้ก็ต้องเท่าเทียมกันด้วย แต่องค์กรไตรภาคีในบ้านเราทุกวันนี้รัฐมนตรีแต่งตั้งตัวแทนมา เป็นการเลือกตั้งทางอ้อม สภาลูกจ้างส่งตัวแทนมาแล้วรัฐมนตรีเป็นคนเลือก แตกต่างจากในอดีตที่มีการเลือกตั้งมา พูดง่ายๆ ว่าปัจจุบันนี้มีการวิ่งเต้นกัน มีการล็อบบี้เพื่อที่จะให้รัฐมนตรีแต่งตั้งตัวเองเป็นคณะกรรมการค่าจ้าง ฉะนั้นคนเรานั้นวิ่งไปล็อบบี้ให้เขาแต่งตั้งตัวเอง การที่จะต่อสู้เพื่อลูกจ้างก็เป็นไปไม่ได้” 

“ฝั่งตัวแทนนายจ้างมากับสภาอุตสาหกรรม มาจากหอการค้า เขาเลือกกันมา 5 คน แล้วรัฐมนตรีก็เป็นคนแต่งตั้งเหมือนกัน และทีนี้ 5 คนที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ กระทรวงแรงงานก็มาจากอธิการบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานบ้าง มาจากปลัดกระทรวงแรงงานบ้าง มาจากกรมพัฒนาฝีมือการค้า คือให้ได้ 5 คนตัวแทนจากรัฐ สุดท้ายใครเป็นคนชี้ว่าขึ้นไม่ขึ้น”

เช่นเดียวกันกับ พรเทพ เบญญาอภิกุล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่มองว่ากระบวนการของคณะกรรมการค่าจ้างแบบไตรภาคีนั้น ตัวแทนของแรงงานอาจจะไม่เชื่อมโยงกับกลุ่มแรงงาน เป็นการดำเนินงานในวงแคบๆ จึงไม่แน่ใจว่าอำนาจการต่อรองของแรงงานนั้นใช่สิ่งที่แรงงานต้องการจริงๆ หรือไม่ และกลุ่มตัวแทนมีประสบการณ์เชื่อมโยงในฐานะตัวแทนลูกจ้างมากน้อยแค่ไหน

โดยอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการค่าจ้างมีอำนาจกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำรายวันและรายชั่วโมงได้ ครอบคลุมลูกจ้างรายวัน รายเดือนรายเหมา และการจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำได้นั้น ต้องมีเกณฑ์ในการพิจารณา 9 ประการ ได้แก่ ดัชนีค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อ ราคาของสินค้า มาตรฐานการครองชีพ ต้นทุนการผลิต ความสามารถของธุรกิจ ผลิตภาพของแรงงาน ผลิตภัณฑ์มวลรวม และสภาพทางเศรษฐกิจและสังคม 

ค่าแรงไทยควรขึ้นทุกปีไหม แล้วปีนี้จะขึ้นหรือเปล่า 

การขึ้นหรือไม่ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นอำนาจการตัดสินใจของคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งต้องศึกษา พิจารณาข้อมูล ข้อเท็จจริงประกอบ แต่หากคณะกรรมการค่าจ้างเห็นว่าไม่จำเป็นต้องปรับ ก็จะไม่มีการต้องปรับขึ้น ทั้งยังมีอำนาจในการชะลอ หรือลดค่าจ้างได้ รวมถึงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำทุกระดับ ซึ่งบุญยืนมองว่า 
“ต้องขึ้นทุกปีครับ มันเป็นปัญหาเพราะว่าค่าจ้างไม่ขยับ หลายคนบอกว่าการขึ้นค่าแรงเดี๋ยวจะเจ๊งกันหมด ของจะขึ้นราคา แต่ถามว่าทุกวันนี้ ค่าแรงยังไม่ขึ้นเลย แต่ว่าของขึ้นราคาไปสองรอบแล้วนะ เพราะอะไร มันไม่มีเหตุไม่มีผลเลย คุณอธิบายแบบกำปั้นทุบดินกันมาก ทำไมเวลาของขึ้นราคาไม่พูดกันว่าค่าแรงก็ต้องขึ้นด้วยสิ ถ้าคุณจะใช้ตรรกะเดียวกันแบบนี้ มันถึงจะยุติธรรม”

ขณะที่ศุภชัย แสดงความเห็นส่วนตัวว่า “เราไม่ได้ขึ้นค่าแรงทุกปี แม้ว่าค่าครองชีพมันปรับขึ้น แต่ค่าครองชีพที่ปรับขึ้นตัวนั้นบางปีมันก็อาจจะไม่ได้ก้าวกระโดด บางปีมันก็ค่อยๆ ปรับขึ้น บังเอิญว่าปีนี้เราอาจจะเห็นว่าของหลายอย่างแพง อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นเราต้องดูสภาพเศรษฐกิจด้วย ตอนนี้มีโควิด เราคิดว่าถ้าปรับขึ้น เราปรับขึ้นเยอะได้แค่ไหน ถ้าเยอะ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือสถานประกอบการที่ลังเลใจว่าจะจ้างแรงงานหรือเปล่า ก็อาจจะตัดสินใจในการที่จะปลดคนงานทิ้งเลย 

“เพราะฉะนั้นถ้าเราไปปรับขึ้น สิ่งที่มันจะเกิดขึ้นก็คือมันอาจจะเกิดผลกระทบต่อสถานประกอบการ อันนี้ก็จะเป็นตัวแปรตัวหนึ่งที่เราต้องดูด้วย และการปรับค่าแรงขั้นต่ำไม่ใช่แค่เรื่องค่าใช้จ่ายของลูกจ้างเท่าไหร่ นายจ้างต้องเสียเงินเพิ่มเท่าไหร่ แต่ว่าเราดูในแง่ของภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศด้วย”

ขณะที่ พรเทพ ในฐานะนักวิชาการผู้เคยเขียนงานวิจัยศึกษานโยบายค่าแรง 300 บาทในยุคพรรคเพื่อไทยมองว่าการขึ้นค่าแรงอาจจะไม่ได้มีผลต่อการจ้างงานมากนัก 
“จากงานศึกษาผลกระทบของการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาทในปี 2556 พบว่าต้นทุนของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นราว 1% เท่านั้น และการขึ้นค่าแรงนี้เป็นส่วนหนึ่งในแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการปรับตัวเพื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต มากกว่าจะแข่งขันเรื่องแรงงานราคาถูก ค่าแรงในไทยเหมือนถูกแช่แข็งไว้หลายปี สัดส่วนการเพิ่มขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำในไทยโตน้อยมาก เมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อและอัตราการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น” 

โดยปัจจุบันค่าแรงขั้นต่ำของไทยอยู่ที่ 313 บาท ในจังหวัดจังหวัดนราธิวาส ปัตตานี และยะลา ถือเป็นจังหวัดที่ค่าแรงขั้นต่ำที่ต่ำสุดจากทั้งประเทศ ในขณะที่ ในกรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร นั้นมีค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 331 บาทต่อวัน และค่าแรงขั้นต่ำที่สูงที่สุดในประเทศคือ 336 บาทต่อวัน ในจังหวัดชลบุรี และภูเก็ต 

และไม่นานมานี้ คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย และสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เสนอให้รัฐบาลปรับค่าแรงเป็น 492 บาททั่วประเทศ แต่ปัจจุบันยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดจากรัฐบาลว่าจะขึ้นหรือไม่ เมื่อไร และหากขึ้นขึ้นที่ตัวเลขเท่าไร  ซึ่งศุภชัยกล่าวถึงประเด็นนี้ในมุมมองส่วนตัวว่า 

“เราไม่ได้ขึ้นมาสักพักหนึ่งแล้ว คิดว่ามีแนวโน้มที่จะมีการปรับขึ้น แต่ปรับเท่าไรขอให้รอดูสักนิด เพราะว่าสถานการณ์รายวันมันเปลี่ยนเร็วมาก คิดว่าไม่นานอย่างที่คิด โดยนโยบายน่าจะเสร็จก่อนการเลือกตั้ง เพราะว่าหลายรัฐบาลก็ใช้นโยบายค่าจ้างขั้นต่ำเป็นนโยบายในการหาเสียงด้วย ผมคิดว่าก็คงจะมีอะไรที่ชัดเจนมากขึ้นก่อนการเลือกตั้ง”