ราคาบิตคอยน์ซบเซามาหลายปี จนกระทั่งเกิดโควิด-19 ระบาดไปทั่วโลกในปี 2563 ส่งผลให้ราคาบิตคอยน์พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก และแม้จะมีวัคซีนทยอยผลิตออกมาแล้ว แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดรอบ 2 ทั่วโลกก็ยังรุนแรง สร้างความไม่แน่นอนให้กับปี 2564 ราคาบิตคอยน์จึงพุ่งขึ้นทะลุ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในวันที่ 2 ม.ค.ที่ผ่านมา
บิตคอยน์คืออะไร?
บิตคอยน์เป็นหนึ่งในสกุลเงินคริปโต หรือค่าเงินดิจิทัล อาจเปรียบได้กับเงินสดในเวอร์ชั่นออนไลน์ โดยบิตคอยน์แต่ละอันก็คือไฟล์คอมพิวเตอร์ที่ถูกเก็บไว้ในแอปพลิเคชัน ‘กระเป๋าเงินดิจิทัล’ บนสมาร์ตโฟนหรือคอมพิวเตอร์
.
เราสามารถหาบิตคอยน์ได้จากการใช้เงินจริงซื้อบิตคอยน์ ขายของหรือบริการแล้วรับเงินเป็นบิตคอยน์ หรือใช้คอมพิวเตอร์การประมวลผลสูงมาแก้สมการทางคณิตศาสตร์ในระบบจนได้บิตคอยน์ใหม่ ซึ่งกระบวนการนี้คนเรียกกันว่า “ขุด” เพราะการแก้โจทย์บิตคอยน์เปรียบได้กับการทำเหมือง ทั้งยาก ต้องใช้เครื่องมือราคาสูง ต้องใช้เวลา และบิตคอยน์ก็มีจำนวนจำกัด
ราคาบิตคอยน์ก่อนโควิด-19
แม้บิตคอยน์จะมีมา 10 กว่าปีแล้ว แต่มันก็ราคาไม่ถึง 20,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 600,000 บาท) สักที นับตั้งแต่ปี 2552 บิตคอยน์เป็นเหมือนของเล่นให้เหล่าเนิร์ดกลุ่มเล็กๆ ขุดเท่านั้น แทบไม่มีใครเก็งกำไร ราคาวนเวียนอยู่ไม่กี่ดอลลาร์ จนเมื่อปี 2560 คนทั่วไปเริ่มรู้จักบิตคอยน์มากขึ้น หลังราคาบิตคอยน์พุ่งขึ้นเกือบถึง 20,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างรวดเร็ว แต่แล้วคนก็ก่นด่าบิตคอยน์ว่าเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีอนาคต เมื่อราคาร่วงหนักในปี 2561
.
ในที่สุด ราคาบิตคอยน์จะมาแตะที่ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ในวันที่ 15 ธ.ค. 2563 จากที่ต้นปี 2563 ราคาบิตคอยน์ยังอยู่ที่ 7,200 ดอลลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น (ราว 216,000 บาท) แต่ปิดปี 2563 ที่ราคาเกือบ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 900,000 บาท) หรือคิดเป็น 296% ของราคาต้นปี จากนั้น บิตคอยน์ใช้เวลาอีกแค่ 17 วัน จึงทะลุราคา 30,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในวันที่ 2 ม.ค.ที่ผ่านมาและกี่ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ราคาก็ไปแตะที่ 32,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ แล้ว (ราว 960,000 บาท)
ทำไมคนชอบบิตคอยน์
คนที่เชียร์บิตคอยน์มาตลอดมักกล่าวว่า บิตคอยน์เป็นการปฏิวัติระบบการเงิน เพราะจุดประสงค์หลักของบิตคอยน์ก็คือการอนุญาตให้คนสองคนสามารถแลกเปลี่ยนและกำหนดมูลค่าได้เองโดยไม่ต้องผ่านคนกลางที่จะคอยควบคุม ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ธนาคารกลาง หรือหน่วยการกำกับดูแลต่างๆ ที่จะคอยออกมาตรการแทรกแซงให้ค่าเงินอ่อนแข็ง หรือปิดระบบบิตคอยน์ได้ เพราะบิตคอยน์ทำงานผ่านระบบที่เชื่อมต่อกัน คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบก็มีข้อมูลการแลกเปลี่ยนบิตคอยน์ชุดเดียวกัน
การโอนบิตคอยน์ทุกครั้งจะถูกบันทึกไว้ในลิสต์ที่เป็นสาธารณะ เรียกว่า “บล็อกเชน” ทำให้สามารถติดตามเส้นทางการโอนบิตคอยน์ได้ง่าย และสามารถป้องกันไม่ให้คนใช้บิตคอยน์ที่ไม่ใช่ของตัวเอง ปลอมแปลงบิตคอยน์ หรือลบล้างประวัติการโอน และเมื่อไม่มีใครมีอำนาจควบคุมข้อมูลแต่เพียงผู้เดียว การแฮ็กระบบจึงทำได้ยากและไม่คุ้มค่า
นี่เป็นเหตุผลว่า คนหันมาถือบิตคอยน์กันมากจนดันราคาขึ้นสูง เช่นเดียวกับทองและสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ เมื่อรู้สึกไม่มั่นใจในระบบการเงินที่ธนาคารกลางของแต่ละประเทศเป็นผู้กำกับดูแลนโยบาย ซึ่งปัจจุบันหนี้ในระบบก็สูงขึ้นเรื่อยๆ ดอกเบี้ยเงินฝากต่ำมาก และแต่ละประเทศใช้มาตรการอัดฉีดเงินเข้าระบบ เพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจสู้กับโควิด-19 จนเงินเสื่อมค่าลง
กระแสเงินลงทุนไหลสู่บิตคอยน์
โควิด-19 ก็เป็นตัวเร่งให้คนมองการใช้จ่ายออนไลน์เป็นเรื่องปกติมากขึ้น จะได้ไม่ต้องหยิบจับธนบัตร ซึ่งอาจเป็นตัวกลางในการแพร่เชื้อได้ และปัจจุบัน การซื้อขายบิตคอยน์ง่ายและสะดวกขึ้นกว่าเดิมมาก สามารถซื้อขายผ่าน PayPal หรือโบรกเกอร์ออนไลน์อีกมากมาย และที่สำคัญ อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำมาก ทำให้คนพร้อมจะลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงขึ้นกว่าเดิม เพื่อแลกกับผลตอบแทนที่อาจจะได้รับมากขึ้น
ทั้งหมดนี้ส่งผลให้นักลงทุนรายย่อยเข้ามาซื้อขายบิตคอยน์มากขึ้น โดย Chainanalysis บริษัทวิเคราะห์ค่าเงินคริปโตเปิดเผยว่าในปี 2563 มีการโอนเงินบิตคอยน์จำนวนต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ประมาณ 38 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากปี 2560
ขณะเดียวกันสถาบันการเงินใหญ่ๆ ก็เริ่มเข้ามาลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลกันมากขึ้นเช่นกัน เช่น เจพีมอร์แกน โกลด์แมนแซค โดยบริษัทวิจัย Messari ระบุว่า บริษัทในตลาดหุ้นของสหรัฐฯ ถือบิตคอยน์มากกว่า 81,000 BTC หรือคิดเป็น 0.5% ของบิตคอยน์ทั้งหมดที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเหตุผลหลักเป็นเพราะบิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่ราคาไม่ผูกหรือเชื่อมโยงกับสินทรัพย์อื่นๆ อีกทั้งยังเป็นสากล ไร้พรมแดน ค่าธรรมเนียมต่ำ จึงเป็นตัวเลือกในการกระจายความเสี่ยงการลงทุน
บิตคอยน์เสี่ยงยังไง
แม้จะมีคนหวังว่า บิตคอยน์จะเป็นเงินดิจิทัลที่คนใช้แพร่หลายกันในอนาคต แต่ปัจจุบันร้านค้าหรือบริการที่รับบิตคอยน์อยู่ไม่มากนัก และบางประเทศยังแบนบิตคอยน์อยู่ ดังนั้น ปัจจุบันจึงมีคนซื้อขายเก็งกำไรราคาบิตคอยน์เป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางคนมองว่า ราคาบิตคอยน์ผันผวนเกินไปสำหรับนักลงทุนทั่วไป และตลาดมีการเก็งกำไรมากเกินไปจนไม่น่าจะขึ้นไปได้ไกลนัก ขณะที่บางส่วนมองว่าบิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ใดๆ ไม่มีดอกเบี้ยหรือเงินปันผล ต้องกินส่วนต่างราคาเหมือนกับสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ เช่น น้ำมัน ทองคำ เงิน จึงไม่ใช่การลงทุนที่ดีนัก
นอกจากนี้ บิตคอยน์ยังเป็นตลาดที่เล็กมาก โดยมูลค่าการซื้อขายบิตคอยน์อยู่ที่ประมาณ 420,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น ในขณะที่มูลค่าการซื้อขายหุ้นของบริษัทแอปเปิล เพียงบริษัทเดียวก็สูงถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว ส่วนมูลค่าการซื้อขายทองคำอยู่ที่ 12 ล้านล้านดอลลาร์ ดังนั้น ตลาดที่เล็กมากเช่นนี้จะทำให้นักลงทุนรายใหญ่และสถาบันการเงินต่างๆ สามารถจะเข้าไปดันราคาให้พุ่งสูงขึ้นได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว
จุดเด่นของสกุลเงินดิจิทัลที่ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งสามารถควบคุมได้นั้นก็อาจเป็นข้อด้วยได้เช่นกัน เพราะเมื่อไม่มีธนาคารกลางและหน่วยงานกำกับดูแลแล้ว ราคาบิตคอยน์ที่ผันผวนจะไม่สามารถหยุดยั้งได้เลย ไม่มีเครื่องมือหยุดการซื้อขายชั่วคราวอย่าง circuit breaker หรือปิดตลาดเมื่อตลาดผันผวนหนักเหมือนในตลาดหุ้น หากมีคนทุ่มตลาดให้ราคาบิตคอยน์ร่วงไปเหลือ 0 ดอลลาร์ก็ไม่มีใครหยุดยั้งได้