Skip to main content

วันที่ 22 ก.ย. อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ปัจจุบันวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ สธ.จัดหาสามารถฉีดเด็กได้ ยังเริ่มที่อายุ 12 ปีขึ้นไป ตามการขึ้นทะเบียนวัคซีนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) คือ วัคซีนไฟเซอร์ กำหนดการล็อตแรกจะมาถึงไทยวันที่ 29 ก.ย. นี้ หลังจากนั้นก็จะทยอยเข้ามาจนครบ 30 ล้านโดส ในเดือน ธ.ค. 2564 ทั้งนี้ กรมควบคุมโรค ก็มีแผนเร่งฉีดให้เด็กทันที ยืนยันได้ว่าวัคซีนที่เราจัดหาทุกยี่ห้อมีความปลอดภัย แต่เนื่องจากเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะ จึงต้องให้ผู้ปกครองยินยอม อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยจัดหาวัคซีนไฟเซอร์มา ไม่ใช่ว่าเพราะเป็นชนิด mRNA แต่รัฐบาลมีหน้าที่จัดหาวัคซีนทุกชนิด เมื่อมีวัคซีนไฟเซอร์เข้ามาก็เพื่อนำมาฉีดให้ผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป เด็กวัยเรียนที่มีราว 5 ล้านคน

ส่วนกลุ่มอายุต่ำกว่า 12 ปี ก็ต้องรอผู้ผลิตวัคซีนมาขึ้นทะเบียน เราขึ้นทะเบียนเองไม่ได้ เราไม่สามารถบอกว่าเสี่ยงฉีดไปก่อน ทำไม่ได้เป็นอันขาด ขอความเข้าใจตรงนี้ด้วย แต่การฉีดลงมาได้ถึง 12 ปี จำนวนคนรับวัคซีนเพิ่มมากขึ้น ความเสี่ยงแพร่เชื้อไปยังเด็กเล็กก็ลดน้อยลง เมื่อไรก็ตาม มีการขึ้นทะเบียน ผลการศึกษาชัดเจน สามารถใช้ช่วงอายุต่ำกว่า 12 ปีไปได้ ยืนยันว่า สธ.จะเร่งจัดหามาให้เด็กๆ เหล่านั้นทันที

ผู้สื่อข่าวถามถึงสถานการณ์โควิด-19 ที่มีการติดเชื้อรายใหม่หลักหมื่นต้นๆ สธ.มีการเตรียมรับมือการระบาดที่อาจเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า เตรียมความพร้อมไว้ตลอด มีการสำรองยา เวชภัณฑ์ รวมถึงการระดมฉีดวัคซีนโควิด-19 ศักยภาพ 7-8 แสนโดสต่อวัน และคาดว่าสิ้นเดือน ต.ค.นี้ น่าจะฉีดวัคซีนได้เกือบ 60 ล้านโดส

ทั้งนี้ ได้รับรายงานจากกรมควบคุมโรคถึงความมั่นใจว่า กลุ่มเป้าหมายจะได้รับการฉีดครบทุกโดสภายในสิ้นปีนี้ (64) รวมถึงผู้ที่รับซิโนแวค 2 เข็ม ก็ต้องมารับเข็มที่ 3 เป็นบูสเตอร์โดสด้วยวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยให้ตัวเอง ที่เราได้เริ่มไปแล้ว แต่จะเริ่มฉีดอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 ก.ย. นี้ ซึ่งตรงกับวันมหิดล ได้มีการจัดหาวัคซีนบูสเตอร์โดสสำหรับคนไทยได้ค่อนข้างครบถ้วนแล้วสำหรับปีหน้า ซึ่งจะฉีดเข็มเดียว แต่ต้องดูประสิทธิผลว่า จะต้องเติมในช่วงครึ่งปีหลังหรือไม่ หากต้องเติม เราก็เปิดออปชั่นกับผู้ผลิตว่า เราสามารถที่จะเพิ่มจำนวนการสั่งซื้อวัคซีนได้ โดยที่ราคา เงื่อนไขไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนที่เปิดเผยได้เราพร้อมเปิดเผยให้ทุกฝ่ายรับทราบ

เมื่อถามถึงกรอบจำนวนวัคซีนของปี 2565 อนุทิน กล่าวว่า เบื้องต้นนายกรัฐมนตรี ให้จัดหาไว้ราว 100 กว่าล้านโดส ซึ่งต้องดูสถานการณ์ด้วย เพราะหากฉีดเป็นเข็มบูสเตอร์ได้ดี ประชากรเรามี 70 ล้านคน ถ้าเกิดไม่จำเป็นต้องใช้ถึงขนาดนั้น และหวังว่าปีหน้าการผลิตวัคซีนน่าจะมีทางเลือกมากขึ้น ราคาก็น่าจะลดลง การมาถึงของวัคซีนไม่น่าจะวุ่นวายเหมือนปีนี้ สถานการณ์เมื่อไม่มีคนเจ็บ คนตาย คนติดมาก สถานการณ์ทุกอย่างก็จะทำให้เกิดความลงตัวในทุกมิติ เราไม่ใช่ว่าซื้อตอนนี้ก่อน แล้วปีหน้าเหลือเท่าไรแล้วไปบริจาค เราไม่ได้คิดถึงขนาดนั้น เอาให้เพียงพอกับความจำเป็นที่ต้องนำมาใช้

ถามว่ามีนักวิชาการระบุว่าถ้าเปิดประเทศและมีการระบาดซ้ำต้องหาคนรับผิดชอบ อนุทินกล่าวว่า รับผิดชอบอย่างไร ทำทุกอย่างแล้ว ทุกคนทำสุดความสามารถ ตอนกลัวไม่มีวัคซีน ไม่มียา ไม่มี รพ.รองรับ ก็มีแล้วทั้งหมด ทุกคนก็ต้องทำตามคำแนะนำ แม้รับวัคซีนแล้วก้ต้องป้องกันตนเองต่อ ต้องเชื่อว่าเมื่อวัคซีนทำงานอย่างเมที่แล้ว ก็อาจมีคนติดเชื้อออยู่ แต่ที่สบายใจได้คือไม่มีการเจ็บหนักหรือตาย ถ้าติดเชื้อเราก็รักษาได้ เราบอกไม่ได้ว่าวัคซีนป้องกันไม่ให้ติดเชื้อ แต่บอกได้ว่าติดเชื้อแล้วอาการไม่หนักและเสียชีวิต สุดท้ายจะลดความรุนแรงจากโรคระบาด (Pandemic) มาเป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) เหมือนโรคอื่นๆ ทั่วไป

“วันนี้ลองไปดูว่ามีคนติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ไหม ทำไมไม่เป็นอะไร เพราะรับวัคซีน เราหวังว่าในกรณีโควิดก็เหมือนกัน เมื่อวัคซีนกระจายทั่วถึงแล้ว ไม่ต้องคิดถึงภูมิคุ้มกันหมู่ คิดแค่ว่าไปถึงแล้วรับกันถ้วนหน้าแล้วมีความปลอดภัย ไม่มีความเสี่ยงถึงขั้นเสียชีวิต ถ้าส่วนใหญ่รักษากันตามอาการ ซึ่งก็ไม่ค่อยมีอาการ” อนุทิน กล่าว