Skip to main content

เกือบ 20 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐอเมริกานำงบประมาณที่มาจากภาษีประชาชนอเมริกันไปทุ่มกับการทำสงครามต่อต้านการก่อการร้ายในหลายประเทศ โดยกรณีของอัฟกานิสถาน มีรายงานว่ารัฐบาลภายใต้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ 4 ราย ใช้งบรวมกว่า 83,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 2.49 ล้านล้านบาท) เพื่อหนุนกองทัพและตำรวจอัฟกานิสถาน จากงบทั้งหมดราว 145,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 4.35 ล้านล้านบาท) ที่ใช้ไปกับการฟื้นฟูประเทศอัฟกานิสถานจากสงครามต่อต้านก่อการร้าย

เมื่อเจ้าหน้าที่ทหารและพลเรือนสหรัฐฯ ทยอยถอนกำลังกลับประเทศภายในกำหนดเส้นตายเดือน ก.ย.2564 ส่งผลให้กองกำลังติดอาวุธตอลิบานและกลุ่มแนวร่วมอื่นๆ ที่ต่อสู้กับรัฐบาลอัฟกานิสถานมานาน เพิ่มกำลังการต่อสู้เพื่อยึดเมืองต่างๆ ที่เคยอยู่ในการควบคุมของกองทัพรัฐบาล โดยหลายเมืองมีการต่อสู้ปะทะเพื่อป้องกันฐานที่มั่น แต่อีกหลายเมือง รวมถึง 'กรุงคาบูล' ซึ่งเป็นเมืองหลวง ไม่มีการต่อสู้ใดๆ เกิดขึ้น เพราะกองทัพอัฟกานิสถานเลือกที่จะวางอาวุธและปล่อยให้ตอลิบานเข้ามาในพื้นที่

เหตุผลที่กองทัพอัฟกานิสถานไม่สู้รบเพื่อป้องกันพื้นที่นั้น รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยของอัฟกานิสถานยืนยันว่า เป็นไปเพื่อ "เปลี่ยนผ่านอำนาจโดยสงบเรียบร้อย" เช่นเดียวกับคำกล่าวของ 'อัชราฟ กานี' ประธานาธิบดี ซึ่งหนีออกนอกประเทศตั้งแต่กลุ่มตอลิบานเริ่มยึดกรุงคาบูล ยืนยันว่าที่ต้องหนีภัยก็เพราะ "ไม่อยากให้เกิดการนองเลือด" 

ท่ามกลางภาพข่าวที่ระบุว่า ประชาชนอัฟกันซึ่งไม่ต้องการอยู่ภายใต้การปกครองของตอลิบานพยายามเกาะเครื่องบินต่างชาติเพื่อหนีออกนอกประเทศ ตกลงมาเสียชีวิต ก็มีการแถลงข่าวจากผู้นำตอลิบานว่า "จะไม่มีการล้างแค้น" ผู้ที่เคยอยู่ฝ่ายรัฐบาล แต่ก็ยังไม่อาจยืนยันได้ว่า สถานการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนหลายแห่งก็แสดงความกังวลต่อสิทธิเสรีภาพของผู้หญิงและกลุ่มผู้หลากหลายทางด้านศาสนา-วัฒนธรรมในอัฟกานิสถานซึ่งอาจถูกกลุ่มเคร่งศาสนาในตอลิบานและแนวร่วมอื่นๆ พุ่งเป้าโจมตีหลังจากนี้

สหรัฐฯ ประเมินพลาด ส่งสัญญาณกองทัพอัฟกัน 'ถูกทิ้ง' จากพันธมิตร

แดเนียล แอล เดวิส อดีตทหารระดับสูงชาวอเมริกันที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันก่อการร้าย เผยแพร่บทความลงในเว็บไซต์ The Guardian เพื่ออธิบายว่าเพราะเหตุใดกองทัพอัฟกานิสถานจึงยอมแพ้ตอลิบานอย่างรวดเร็ว แม้ทหารส่วนใหญ่จะผ่านการฝึกฝนร่วมกับกองทัพตะวันตกมานานสองทศวรรษ ทั้งยังมีอาวุธยุทโธปกรณ์มากกว่ากลุ่มตอลิบาน โดยเดวิสระบุว่าทหารอัฟกันมีจำนวนกว่า 300,000 นาย ขณะที่นักรบของตอลิบานมีจำนวนประมาณ 75,000 ราย ทั้งยังไม่มีอากาศยานหรืออาวุธที่ดีไปกว่ากองทัพอัฟกัน

บทความเดวิสระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ประเมินศักยภาพของกองทัพอัฟกันสูงเกินไป และคาดหวังว่ากองทัพจะต่อสู้กับตอลิบานได้เมื่อทหารอเมริกันและกองทัพพันธมิตรนาโตถอนกำลัง แต่ในความเป็นจริง ความสำเร็จของกองทัพอัฟกันช่วง 15 ปีที่ผ่านมา เป็นผลจากความสนับสนุนของกองทัพต่างชาติเกือบทั้งหมด และรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการต่อสู้กับตอลิบานเป็นอันดับหนึ่ง แต่พุุุ่งเป้าไปที่การตัดกำลังกลุ่มอัลกออิดะห์ที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุวินาศกรรมตึกเวิลด์เทรดและกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ในวันที่ 11 ก.ย.2544 

"Where Are the Taliban? Insurgents Avoiding Marines, Afghan National Army in Marjah" by DVIDSHUB is licensed under CC BY 2.0

ขณะที่ 'จอห์น เคอร์บี' หัวหน้าโฆษกของรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ระบุว่า "เงินซื้อเจตจำนงไม่ได้" ซึ่งหมายถึงสภาพจิตใจโดยรวมของกองทัพอัฟกานิสถานที่ไม่ได้มีความมุ่งมั่นว่าจะต้องต่อสู้เพื่อปกป้องรัฐบาล และระบุด้วยว่า "ความเป็นผู้นำก็ซื้อไม่ได้" หลังจากประธานาธิบดีอัชราฟหนีภัย และเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างก็เปิดทางให้ตอลิบานเข้ามายึดทำเนียบประธานาธิบดีแต่โดยดี

สำนักข่าว AP รายงานอ้างอิง 'ดั๊ก ลูต' อดีตนายพลผู้ดำรงตำแหน่งด้านวางแผนยุทธศาสตร์ในอัฟกานิสถานสมัยอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช และบารัก โอบามา ระบุว่า กองทัพอัฟกานิสถานไม่มีความเป็นเอกภาพ จึงขาดขวัญกำลังใจและไม่มีระเบียบวินัย และการที่สหรัฐฯ พร้อมด้วยประเทศพันธมิตรประกาศว่าจะถอนกำลัง เปรียบได้กับการส่งสัญญาณว่ากองทัพอัฟกานิสถานกำลังจะถูกทิ้งให้รับภาระต่อสู้กับกองกำลังติดอาวุธต่างๆ เพียงลำพัง

แจกแจง 'จุดอ่อน' กองทัพอัฟกัน พร้อมย้ำ ทหารไม่ยอมตายเพื่อรัฐบาล 

ด้าน 'คริส เมสัน' นักวิชาการของสถาบันนโยบายศึกษาของวิทยาลัยการทหารในสหรัฐฯ เคยเขียนบทความไว้ตั้งแต่ปี 2558 ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ กำลังซ้ำรอยเดิมจากการทำสงครามในเวียดนามและอิรัก โดยประเมินว่าหากถอนทหารพ้นจากอัฟกานิสถานเมื่อไหร่ จะทำให้กลุ่มติดอาวุธฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลเข้ายึดครองประเทศได้โดยเบ็ดเสร็จ แต่ก็ยอมรับว่าการถอนทัพเป็นเรื่องเข้าใจได้ เพราะรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่อาจสูญเสียงบประมาณไปกับการทหารในต่างแดนไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว แต่การเสริมสร้างศักยภาพกองทัพอัฟกันไม่อาจเป็นจริงได้ เพราะมีจุดอ่อนหลายข้อ

เมสันระบุว่า กองทัพอัฟกานิสถานไม่มีความเป็นเอกภาพ และมีปัญหาเรื่องการทุจริต โดยระบุว่าเงินสนับสนุนกองทัพที่ได้จากรัฐบาลสหรัฐฯ ถูกนำไปเป็นเงินเดือนของทหารระดับสูง แต่มีการสร้างรายชื่อ 'ทหารผี' ซึ่งไม่มีอยู่จริงขึ้นมาเพื่อรับเงินเดือน ทั้งยังมีการยักยอกงบประมาณด้านเชื้อเพลิงเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ และการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่เคยตั้งคำถามว่า ทหารอัฟกันจะยอมสู้ตายเพื่อปกป้องรัฐบาลของตนเองหรือไม่ ทำให้การประเมินสถานการณ์ในอัฟกานิสถานไม่เป็นไปตามความเป็นจริง

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายรายยืนยันว่า ทหารอัฟกันที่ต่อสู้อย่างเข้มแข็งเพื่อป้องกันการยึดครองประเทศของกลุ่มตอลิบานมีจำนวนมาก โดยเฉพาะหน่วยคอมมานโดที่ปฏิบัติการรบเฉพาะกิจ และเสียชีวิตในการต่อสู้เป็นจำนวนมากในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ซึ่ง The New York Times และบทความใน Council on Foreign Relations รายงานว่าทหารและเจ้าหน้าที่หน่วยความมั่นคงชาวอัฟกันกว่า 60,000 นายเสียชีวิตในหน้าที่ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา และทหารเหล่านี้ไม่อาจแบกรับภารกิจของทั้งกองทัพเอาไว้ได้ ทำให้กองทัพมีสภาพง่อนแง่นพร้อมพังทลายได้ทุกเมื่อ

ตอลิบานได้ประโยชน์สูงสุดจากศักยภาพกองทัพอัฟกัน

รายงานข่าวของ AP ระบุว่า อาวุธยุทโธปกรณ์รวมถึงทหารที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรจากตะวันตก จะเป็นประโยชน์อย่างมากแก่กองกำลังตอลิบานที่เข้ายึดครองประเทศได้สำเร็จ เพราะจะยกระดับความสามารถในการต่อสู้ของกลุ่มได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอากาศยานและคลังอาวุธต่างๆ 

ส่วน Aljazeera อธิบายว่ากองกำลังตอลิบานมีความเชี่ยวชาญด้านการสู้รบมานานแล้ว เนื่องจากผันตัวจากกลุ่มนักรบมูจาฮิดดีนที่ประกาศต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ปลดปล่อยประเทศในยุครัฐบาลคอมมิวนิสต์อัฟกานิสถาน และต่อสู้ในสงครามกลางเมืองในทศวรรษ 1980-1990 โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อล้มล้างอดีตรัฐบาลอัฟกันที่สหภาพโซเวียตหนุนหลัง แต่กลุ่มตอลิบานได้เติบโตจนเป็นแกนนำกลุ่มมูจาฮิดดิน และสามารถยึดอำนาจจากรัฐบาลคอมมิวนิสต์รวมถึงแขวนคออดีตประธานาธิบดีกลางกรุงคาบูลได้สำเร็จเมื่อปี 2539 จึงได้จัดตั้งรัฐบาลปกครองประเทศเป็นทางการ และประกาศให้อัฟกานิสถานเป็นสาธารณรัฐอิสลาม โดยมี 3 ประเทศที่ให้การรับรอง คือ ซาอุดีอาระเบีย ปากีสถาน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี)

ตอลิบานปกครองประเทศอยู่นานราว 6 ปี รัฐบาลสหรัฐฯ ก็ประกาศบุกอัฟกานิสถานเพื่อทำสงครามต่อต้านการก่อการร้าย หลังเหตุวินาศกรรม 11 กันยาฯ 2544 เนื่องจากรัฐบาลตอลิบานปฏิเสธที่จะส่งตัว 'โอซามา บินลาดิน' ผู้นำกลุ่มอัลกออิดะห์ ให้แก่สหรัฐฯ และช่วงที่ตอลิบานปกครองประเทศก็ถูกโจมตีอย่างหนักว่าใช้วิธีการรุนแรงปราบปรามผู้เห็นต่างและละเมิดสิทธิมนุษยชน ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากถูกสังหาร ลี้ภัย และพลัดถิ่นที่อยู่