Skip to main content
วิจัยชี้ คนที่ถูกปฏิบัติอย่างดีในที่ทำงานจะมีน้ำใจกับเพื่อนร่วมงานมากขึ้นถึง 278% เมื่อเทียบกับคนที่ถูกปฏิบัติอย่างเลวร้ายจากเพื่อนร่วมงาน
 
บางครั้งความใจดีมีเมตตากรุณากลายเป็น “จุดอ่อน” ในโลกของการทำงาน หรือโลกธุรกิจ เพราะเปรียบเสมือนการยินยอมให้คนอื่นเหยียบย่ำตัวเราเอง เพื่อให้เขาเหล่านั้นขึ้นสู่ความสำเร็จได้เร็วขึ้น
 
แน่นอนว่า ไม่มีใครอยากตกอยู่ในสถานะเบี้ยล่าง เพราะความใจดีของตัวเอง ทว่างานวิจัยจากสมาคมจิตแพทย์แห่งสหรัฐฯ ชี้ว่า ความใจดีและการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่สามารถช่วยพัฒนาศักยภาพการทำงานของพนักงานได้
 
สมาคมจิตแพทย์แห่งสหรัฐฯ เปิดเผยผลการวิจัยชิ้นล่าสุด ระบุว่า คนที่ได้รับการปฏิบัติอย่างดีในที่ทำงานจะมีน้ำใจ หรือพร้อมจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานมากขึ้นถึง 278% เมื่อเทียบกับคนที่ได้รับการปฏิบัติอย่างเลวร้ายจากเพื่อนร่วมงาน
 
นักวิจัยค้นพบว่า ความใจดีช่วยเพิ่มสุขภาพกาย สุขภาพจิต และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับพนักงานหรือคนทำงาน พร้อมยังชี้ว่า หากคนทำงานแสดงความมีน้ำใจและเอื้อเฟื้อต่อกันเสมอๆ ยังส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของคนทำงานเพิ่มสูงขึ้น เช่นเดียวกับเพิ่มระยะเวลาการทำงานให้ยาวนานขึ้น ขณะที่อัตราการลาป่วยก็ลดน้อยลงอีกด้วย
 
ไม่เพียงเท่านั้น คนทำงานที่มักเอาเปรียบคนอื่น แสดงภาวะอารมณ์โกรธ ฉุนเฉียว หรือมักหงุดหงิดใส่เพื่อนร่วมงานเป็นประจำ จะไม่สามารถทำงานอยู่ได้นาน หรือหากทำงานได้นาน เพื่อนร่วมงานก็มักจะเปลี่ยนหน้าบ่อยๆ เพราะไม่สามารถอดทนและรับมือกับคนทำงานแบบนี้ได้
 
นอกจากนี้ การแสดงความใจดี มีน้ำใจ และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับคนในที่ทำงาน ยังทำให้คนทำงานรู้สึกดีกับงานที่พวกเขาทำ สามารถช่วยสร้างสร้างขวัญและกำลังให้กับเกิดขึ้นได้กับทั่วทั้งองค์กร และยังช่วยผลักดันให้องค์กรสามารถเดินไปข้างหน้าได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน
 
แม้หลายคนจะรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กตัวน้อยมากๆ และการกระทำของตัวเองคงไม่ส่งผลกระทบต่อองค์กรที่ทำงาน แต่สิ่งสำคัญคือไม่ว่าพลังจะเล็กน้อยแค่ไหน ล้วนส่งผลกระทบหรือสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ทั้งนั้น
 
สังคมตอนนี้กำลังเผชิญหน้ากับความเห็นแก่ตัว และความไม่เห็นอกเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์อย่างเลวร้าย ดังนั้น การสร้างความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงคือการตระหนักรู้ว่าตัวเองมีพลังในการความเปลี่ยนแปลงได้ และการมีน้ำใจกับคนอื่นในสังคมก็จะช่วยให้สิ่งรอบข้างน่าอยู่ขึ้นอย่างแน่นอน
 
ทั้งนี้ การแสดงความใจดีและมีน้ำใจกับคนอื่นๆ จะช่วยดึงเอาคุณสมบัติเชิงบวกของคนอื่นออกมาโดยธรรมชาติด้วยเช่นกัน การเริ่มต้นทำสิ่งดีด้วยตัวเอง จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปสู่คนอื่นรอบตัว ซึ่งการเริ่มต้นแสดงความใจดีในที่ทำงาน ก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการเปลี่ยนแปลงในสังคมได้เช่นกัน
 

อ้างอิง:

The Happy Broadcast 

The Remarkable Benefits of Kindness at Work

Everyday prosociality in the workplace: The reinforcing benefits of giving, getting, and glimpsing