Skip to main content

ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้รับเชิญให้กล่าวปัจฉิมกถาในหัวข้อ “90 ปีประชาธิปไตย ก้าวต่อไปของประชาชน: ประสบการณ์ประชาธิปไตยผ่านมุมมองการเลือกตั้งผู้ว่า กทม.” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน “90 ปี ประชาธิปไตยไทย 88 ปีธรรมศาสตร์” จัดโดยวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์

โดยชัชชาติ กล่าวตอนหนึ่งฝากไปยังคนรุ่นใหม่ว่า ประชาธิปไตยไม่ได้น่ากลัว การเลือกตั้งอาจคิดว่าเป็นคนละบริบทกับเรา เป็นเรื่องของนักการเมือง แต่ตนไม่ได้คิดว่าตนเป็นนักการเมือง ตอนที่สมัครผู้ว่าเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยนโฉมการเมือง จากนักการเมืองอาชีพสู่นักคิดที่มีความหวัง สร้างความหวัง พร้อมบอกด้วยว่า ระหว่างการทำแคมเปญหาเสียงผู้ว่าฯ กทม. ในทีมจะมี 3 คำถามที่ต้องถามตัวเองอยู่เสมอคือ เข้าใจสิ่งที่ทำดีไหม, แคมเปญยังสัมพันธ์กับโลกอยู่ไหม และสนุกกับการทำไหม

ชัชชาติ อธิบายว่า ก่อนจะลงสมัครผู้ว่าฯ ต้องเข้าใจก่อนว่าผู้ว่าฯ กทม. เป็นตำแหน่งการเมืองใช่ไหม และเราเข้าใจดีพอหรือยัง และเมื่อเราเข้าไปนั่งตำแหน่งนี้มีลูกจ้าง กทม. 8 หมื่นคนที่เขาทำเรื่องนี้มาตลอดชีวิต แต่คุณจะเข้าไปเป็นลีดเดอร์ จะมาเป็นแกนเมือง ต้องถามว่าคุณเข้าใจเรื่องกวาดถนนดีเท่ากับพนักงานเจ้าหน้าที่ กทม. หรือยัง มันคือเทคนิคที่ต้องเข้าใจในระดับหนึ่ง อย่างน้อยต้องเข้าใจมากกว่าหรือเท่ากับคนที่เขาประจำอยู่แล้ว แต่การเมืองที่ผ่านมาบางทีเราไม่เป็นแบบนั้น ส่วนเรื่องแคมเปญสัมพันธ์กับโลกอยู่ไหม ชัชชาติ กล่าวว่า สิ่งที่พูดออกไปสัมพันธ์กับโลกในอนาคตหรือไม่ หรือเอาเรื่องวิธีการเมื่อ 20 ปีที่แล้วมาคิด การซื้อเสียง การโหวตเป็นกลุ่มๆ การไม่ได้คิดแบบแผนต่างๆ ในอนาคต 

และอย่างสุดท้ายคือ ยังสนุกกับการทำไหม ต้องคอยถามทีมอยู่ตลอด เพราะการเมืองไม่ใช่เรื่องของการหดหู่ มันเป็นเรื่องของความหวัง เพราะงั้นหน้าที่เราไม่ได้สร้างความกลัว แต่เราสร้างความหวัง ตนจะเป็นผู้นำแห่งความหวัง และไม่เคยพูดให้ใครกลัว หรือบอกห้ามไม่ให้เลือกใคร และมองด้วยว่า การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. มีโอกาสเปลี่ยนภูมิทัศน์การเมืองใหญ่ได้ เพราะวิธีคิด วิธีการทำนโยบาย วิธีการรวมอาสาสมัครเข้าไว้ด้วยกัน

ในช่วงท้าย ชัชชาติ ยังกล่าวว่า "ผมมาอยู่ตรงนี้ได้มันก็คือประชาธิปไตย ผมไม่มีทางมาอยู่ตรงนี้ได้ถ้าไม่ใช่ระบบประชาธิปไตย และอยากจะฝากบอกว่า เรามาแบบคนเดียว เรามาแบบอิสระ แต่เรามาด้วยความรู้ด้วยทีมงาน ด้วย solution ที่แก้ปัญหาเมืองได้ เพราะว่าอันนี้แหล่ะคือความหวังที่คนรุ่นใหม่ เพราะงั้นการเมืองไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว ประชาธิปไตยอนาคต ผมว่าเป็นเรื่องของความรู้ความสามารถ เทคโนโลยี ผมว่าขอให้คนรุ่นใหม่ เข้ามาร่วมกันเยอะๆ พวกเราเปลี่ยนเมืองได้ ผมทำกรุงเทพฯ วันนี้ไม่ได้ทำให้ อ.ชาญวิทย์ นะไม่ได้ทำให้ผม ทำให้คนรุ่นใหม่ เพราะเขาต้องเป็นคนที่ใช้กับเมืองนี้ และคุณก็อย่าเป็นแค่คนรับ solution (การแก้ปัญหา) คุณต้องเป็นคนคิดวิธีแก้ปัญหาให้เมืองด้วย เพราะงั้นความสวยงามของประชาธิปไตยตรงนี้แหล่ะ ไม่มีใครมาสั่งได้ คุณมาได้ด้วยความสามารถ ผมว่าอนาคตมันจะเข้มแข็งขึ้น เพราะว่าเทคโนโลยีมันจะชนะ ความโปร่งใสจะเข้ามาด้วยเทคโนโลยี"

พร้อมทิ้งท้าย  "ก็ฝากไว้ด้วยว่า การผมเข้ามาของผมในฐานะผู้ว่าฯ จะจุดประกายความหวังให้กับคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาทำงานการเมือง และเชื่อว่าอนาคต เรามีความหวัง"