ในยุคนี้คนแพ้อาหารกันมากขึ้นๆ คำอธิบายพื้นฐานคือ พันธุกรรมคนเปลี่ยนไป อย่างไรก็ดี จริงๆ แล้วสิ่งที่ทำให้เกิดอาการแพ้ จริงๆ อาจไม่ไม่ตัวอาหาร แต่เป็น "สารปนเปื้อน" ในนั้น ที่แทรกอยู่แม้แต่ในของสด
กรณีของ "บี" สาวอเมริกันอาจเป็นตัวอย่างที่ดี
“บี" เป็นสาวอเมริกันที่ตอนแรก "แพ้กลูเต็น" ก่อน แต่อาการแพ้ของเธอไม่หยุดแค่นั้น มันลามไปที่พืชผัก เนื้อสัตว์ ซึ่งอาการแพ้ก็ปะปนสารพัด ตั้งแต่อาการที่เห็นได้จากภายนอกแบบผื่นแดง หายใจติดขัด ท้องอืด หัวตื้อๆ ปวดข้อ ฯลฯ แบบแทบทุกอย่างที่เราจะนึกออกเท่าที่อาการแพ้จะทำให้เกิดขึ้นกับร่างกายได้
หลังจากทดลองมาเรื่อยๆ เธอพบว่า ในที่สุดเธอแพ้อาหารทุกอย่างยกเว้น บร็อคโคลี่ มะพร้าว และไก่ และเธอก็ต้องกินวนๆ อยู่แค่นั้น ด้วยความหวาดผวาว่า ถ้าเธอแพ้อะไรพวกนี้อีก เธอจะไม่เหลืออะไรที่จะกินได้แล้ว
ใช่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น ขนมปัง สปาเก็ตนี้ ข้าว หมู เนื้อ กุ้ง ปู สารพัดผักและผลไม้ ที่ไม่มีใครแพ้ เธอแพ้หมด ด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้
สุดท้ายในปี 2024 เธอทนชีวิตแบบนี้ไม่ไหวอีกแล้ว และตัดสินใจย้ายมายุโรป เผื่อว่าอะไรๆ จะดีขึ้น
อาหารมื้อแรกๆ ที่เธอเจอในยุโรป คือ บร็อคโคลี่ในซอสมะเขือเทศ โดยมะเขือเทศ เป็นหนึ่งในของที่เธอแพ้เป็นอันดับต้นๆ เธอเห็นว่า มีโรงพยาบาลอยู่ใกล้ๆ ก็เลยคิดว่าอยากลองซะหน่อยจะเป็นยังไง แต่กินเข้าไป ปรากฏว่า เธอไม่แพ้
เธอลองกินอาหารที่เธอแพ้ที่อเมริกาอย่างต่อเนื่องในยุโรป และพบว่าเธอไม่แพ้อะไรเลย ปัจจุบัน เธอสามารถกินอาหารได้แบบคนปกติแล้ว ซึ่งก็แน่นอน เธอดีใจมาก เพราะอาหารหลายๆ อย่าง เธอแทบจะลืมรสชาติมันไปแล้ว เช่น กุ้ง เธอโพสต์เล่าเรื่องราวการค้นพบของเธอเป็นตอนๆ ใน TikTok ซึ่งเนื้อหาคลิปคือ โชว์การกินที่ยุโรปให้เห็นๆ ว่า ไม่แพ้ และก็จะโชว์ภาพเก่าว่าถ้าเธออยู่อเมริกา กินอาหารชนิดเดียวกันจะเกิดอะไรขึ้น (ส่วนใหญ่คือเป็นผื่นแดงๆ)
แน่นอน นี่มันอาจฟังดูพิสดารมาก แต่จริงๆ มันมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์อยู่
อธิบายง่ายๆ "บี" ได้ทำการทดสอบการแพ้ และพบว่า เธอแพ้พวกสารที่เป็นผลผลิตจากรา (myotoxin) จำนวนมาก สมมติฐานก็คือ ในยุโรปมาตรฐานสารพิษเป็นคนละเรื่องกับที่อเมริกา ในอเมริกาเป็นที่รู้กันว่ามาตรฐานสารปนเปื้อนในผักและเนื้อสัตว์นั้นแย่มาก สามารถปนเปื้อนได้สูงและเอามาขายได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งผิดกับยุโรป ที่ปนเบื้อนนิดหน่อยก็ผิดกฎหมายแล้ว
เรื่องอะไรพวกนี้ จริงๆ เราจะเห็นไม่ใช่แค่พวกสารพิษจากรา แต่เป็นพวกสารเคมีการเกษตร ซึ่งพวกยุโรปจะมาตรฐานสูงมาก มีการแบนสารหลายๆ ตัวที่ภูมิภาคอื่นไม่แบน และนั่นเลยทำให้พวกยุโรปเป็นพื้นที่ที่อาหารมี "สารบนเปื้อน" น้อยที่สุด เพราะมาตรฐานการปนเปื้อนเค้าสูงมาก
แต่นั่นอาจไม่อธิบายอาการของ "บี" ทั้งหมด เพราะจริงๆ แล้ว แม้ว่ามาตรฐานของอเมริกาและยุโรปจะต่างกันเยอะ แต่ฝั่งอเมริกาคนส่วนใหญ่ก็กินอาหารได้โดยไม่มีอาการแพ้อะไร ดังนั้น บีอาจถือเป็นเคสพิเศษที่มีอาการแพ้เยอะระดับประหลาด หรือในอีกแง่ก็คือ "บี" เป็นคนที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนไหวกับสารต่างๆ มาก แบบรับเข้าไปนิดหน่อย ระบบภูมิคุ้มกันทำงาน ทำให้เกิดอาการแพ้ทั้งๆ ที่คนอื่นไม่มีอาการ
แต่อีกด้าน คนอย่าง "บี" ก็เป็นเหมือนเครื่องตรวจจับการปนเปื้อนในอาหารที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ในขณะที่คนอื่นมองไม่เห็น จริงๆ อเมริกามีการบนเปื้อนสารพัดในอาหาร แค่มันไม่อยู่ในระดับที่คนส่วนใหญ่จะ "มีอาการ" ใดๆ เท่านั้น แต่ถ้าบางคนที่ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนไหวเป็นพิเศษ มันคืออีกเรื่อง
ทั้งนี้ ก็น่าสนใจเช่นกันว่า ปรากฎการณ์ที่ยุคหลังๆ คนมีอาการแพ้โน่นนี่เยอะๆ ด้านหนึ่งพบจากฝั่งอเมริกาเป็นหลัก ซึ่งอาจเป็นไปได้หรือเปล่าว่า คนเหล่านั้นอาจไม่ได้แพ้สิ่งเหล่านั้นตรงๆ แต่แพ้พวกสารพิษที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญในมาตรฐานการผลิตและขนส่งของอเมริกาที่อนุญาตให้มีการปนเปื้อนสารพัดสาร สูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ
ถ้าจะให้โหดกว่านั้นเข้าไปอีก ถ้าเราพอรู้ ในอเมริกา สำนักงานพิทักษ์สิ่งแวดล้อม (Environmental Protection Agency หรือ EPA) อนุญาตให้มีการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมได้มากกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ มาก ในระดับที่คนเคยแซวว่าเป็นองค์กรที่ไม่ทำงานอะไรเลย และในยุคทรัมป์ สมัยที่ 2 ก็ได้ใช้อำนาจในการลดอำนาจขององค์กรไปอีก ในระดับที่คนมองว่า เหมือนอเมริกาไม่เหลือระเบียบพื้นฐานในการ "ควบคุมมลพิษ" อะไรเลย
แน่นอน ที่ไม่ใช่สิ่งที่จะเห็นผลในเดือนสองเดือนหรือปีสองปี แต่ในระยะยาว สิ่งที่คาดเดาได้เลยก็คือ ถ้าคนอเมริกันไม่ "วิวัฒนาการ" จนต่อสู้การปนเปื้อนได้ชะงัด ก็น่าจะมีคนอย่าง "บี" ที่แพ้อะไรก็ไม่รู้ ดูไม่มีสาเหตุ โผล่มามากมาย
อ้างอิง
TikTok: bee70654
Severe ‘allergies’ forced woman to leave the US — foreign diets had a shocking effect on her body
Trump bids to scrap almost all pollution regulations – can anything stop this?