หมู่บ้านเล็กๆ ที่ห่างไกลในเยอรมนี เปลี่ยนตัวเองจากจุดที่กำลังเสื่อมถอยไปสู่การเป็น “เมืองอัจฉริยะ” ได้ภายในหนึ่งทศวรรษ ด้วยพลังและการร่วมแรงร่วมใจ และการมีความฝันที่ยิ่งใหญ่ของคนในชุมชน
“เอ็ตเลิน” หมู่บ้านเล็กๆ ในชนบทของรัฐนอร์ทเวสต์ฟาเลีย มีประชากรเพียง 1,750 คน เมื่อราว 10 ปีที่แล้ว ที่นี่กำลังเผชิญกับการลดลงของประชากร จนทำให้โรงเรียนประถมเกือบต้องปิดตัวลง แต่ทว่า กลับสามารถพลิกกลับกลายมาเป็นเมืองเล็กที่ “อัจฉริยะ” ที่สุดในโลกได้
การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นขึ้นในปี 2012 เมื่อโรงเรียนประจำหมู่บ้านใกล้ปิดตัวลงจากการลดลงของนักเรียน แต่แทนที่จะปล่อยให้มันเกิดขึ้น ผู้คนในเมืองได้ร่วมกันตั้งองค์กรรากหญ้าชื่อ “Etteln Aktiv” ซึ่งหมายถึง ชาวเอ็ตเลินที่ตื่นตัว พวกเขาประสบความสำเร็จในการทำให้โรงเรียนยังคงเปิดสอนต่อไป เหตุการณ์นี้เป็นจุดเริ่มต้นของการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนที่จะเปลี่ยนหมู่บ้านที่ห่างไกลไปสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะในโลกยุคดิจิทัลได้สำเร็จ
จุดเปลี่ยนสำคัญของหมู่บ้านเกิดขึ้นระหว่างการล็อกดาวน์โควิดในปี 2020 เมื่ออินเทอร์เน็ตไฟเบอร์ออฟติกขยายบริการมาถึง แต่กลับมาไม่ถึงหมู่บ้านชายขอบแห่งนี้ ทีแรกรัฐบาลท้องถิ่นปฏิเสธที่จะออกเงินจำนวน 2.5 ล้านยูโรในการเชื่อมต่อไฟเบอร์ออฟติกเข้าสู่หมู่บ้าน แม้ว่ารัฐบาลกลางจะช่วยเหลือค่าใช้จ่ายก้อนนี้ครอบคลุมถึงร้อยละ 90 แล้วก็ตาม เหตุการณ์นี้ทำให้ชาวบ้านลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างร่วมกันอีกครั้ง
“มีชาวบ้าน 65 คนสมัครใจออกมา ชาวไร่ชาวนาต่างนำเอารถแทร็กเตอร์ออกมา ชมรมปืนไรเฟิลช่วยกันขุดร่องดิน สมาชิกของโบสถ์ช่วยกันวางสายเคเบิล หลังจากทำงานยาวนานกว่า 3,500 ชั่วโมง พวกเราก็สามารถทำให้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงมาถึงหมู่บ้านได้” ผู้บริหารเทศบาลเอ็ตเลินกล่าว
ทุกวันนี้ บ้านทุกหลังและฟาร์มทุกแห่งในเอ็ตเลินได้รับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไฟเบอร์ออฟติก ชาวบ้านสามารถเข้าถึงบริการสาธารณะต่างๆ ได้ผ่านการแตะหน้าจอสมาร์ทโฟน โดยที่ค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่อหมู่บ้านในหุบเขากับโลกกว้างอยู่ที่เพียง 100,000 ยูโร ซึ่งเงินจำนวนมาจากการเปิดรับบริจาคและอีกส่วนหนึ่งได้มาจากเทศบาล
“เราได้เรียนรู้อย่างแจ่มแจ้งว่า ไม่สำคัญว่าจะต้องทุ่มเทความพยายามมากขนาดไหน เพราะสุดท้ายแล้วทุกคนก็จะเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ และถ้าไม่มีพวกมัน ลูกชายสองคนของผมก็ไม่สามารถทำงานระยะไกลจากที่บ้านได้ แต่มันเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เรามีไฟเบอร์ออฟติก” กุนเทอร์ กอร์ดอน เจ้าของโรงสีในเอ็ตเลินกล่าว
การเชื่อมต่อไฟเบอร์ออฟติก ทำให้ชาวบ้านเกินครึ่งสามารถติดต่อกับคนอื่นๆ ได้ผ่านทางแอปพลิเคชั่น และถูกใช้เป็นที่ประชุมเสมือน ใช้ส่งข่าวสาร ประชาสัมพันธ์เรื่องต่างๆ เช่น การจัดงาน การแชร์ข่าว การรับสมัครงาน กระทั่งการประกาศขายของมือสองก็เกิดขึ้นได้
“แม้การกระจายข้อมูลทำได้เร็วขึ้นมากโดยการใช้แอป แต่ชาวบ้านก็ยังคงออกมาพบปะกันเหมือนแต่ก่อนที่เคยเป็นมา” คริสทีน วาร์กเนอร์ ผู้จัดการโครงการดิจิทัลไลเซชั่นเอ็ตเลินกล่าว
บริการสาธารณะที่ต้องทำผ่านระบบดิจิทัลในเอ็ตเลิน ยังถูกออกแบบมาสำหรับคนที่ไม่มีสมาร์ทโฟนอีกด้วย โดยสามารถเข้าถึงบริการต่างๆ จากหน้าจอสาธารณะที่ตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ นอกจากนี้ ยังสามารถใช้เรียกใช้บริการเช่า EttCar หรือ รถยนต์ไฟฟ้าสาธารณะแบบ 7 ที่นั่งผ่านทางแอปพลิเคชั่นได้ด้วย
“ทางเมืองซื้อรถยนต์ไฟฟ้าพวกนี้ ซึ่งมีการเช่าไปแล้วรวมมากกว่า 2,000 ครั้ง และถูกใช้ขับเป็นระยะทางรวมแล้วมากกว่า 100,000 กิโลเมตร” ผู้บริหารเทศบาลเอ็ตเลินกล่าว
โครงการที่ล้ำหน้าของเอ็ตเลิน คือ โครงการหมู่บ้าน 3 มิติ ที่สร้างขึ้นตามแบบจริงในโลกดิจิทัล บ้านเรือนและสภาพแวดล้อมสร้างขึ้นจากข้อมูลจริงที่สามารถให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ทั้งเรื่องปริมาณฝน อุณหภูมิ และอื่นๆ ไปจนกระทั่งจำนวนเงินบริจาคในกล่องรับเงิน
ข้อมูลเหล่านี้สามารถช่วยเตือนให้ระวังภัยน้ำท่วม ซึ่งเอ็ตเลินใช้แบบจำลอง 3 มิติในการคาดการณ์ปริมาณน้ำฝน ใช้ในการประเมินความปลอดภัยของจุดที่จะมีการสร้างบ้านหลังใหม่ หลังจากเกิดน้ำท่วมรุนแรงขนาดใหญ่ในเยอรมนีในพื้นที่ที่ห่างจากหมู่บ้านไปราว 200 ไมล์
“หมู่บ้านของเรามีแผนที่จะสร้างบ้านใหม่เพิ่มอีก 5 หลัง แต่โมเดล 3 มิติแสดงให้เห็นว่า บริเวณที่จะสร้างบ้านมีความเสี่ยงที่จะถูกน้ำท่วมสูงได้ถึง 2 เมตร ดังนั้นเราจึงไม่อนุญาตให้สร้างบ้านในพื้นที่ตรงนั้น” อูลริช อาเลอ จากเทศบาลเอ็ตเลินกล่าว
นอกจากนี้ ที่เอ็ตเลินยังมีการติดตั้งกังหันลมผลิตไฟฟ้า 26 ตัวทางฝั่งตะวันออกของหมู่บ้าน เพื่อความมั่นคงทางด้านไฟฟ้าของหมู่บ้าน ที่สำคัญคือ ยังสามารถกำหนดราคาค่าไฟฟ้าต่อหน่วยที่ต่ำกว่าราคาปรกติในเยอรมนีได้ถึงร้อยละ 30
ที่เอ็ตเลินยังนำเอาโดรนอัตโนมัติมาใช้สนับสนุนการทำงานของสถานีดับเพลิง มีการอบรมชาวบ้านในการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์พื้นฐานเพื่อตรวจสุขภาพเบื้องต้นที่บ้านในโรคที่ไม่จำเป็นต้องพบแพทย์ เช่น การวัดความดัน หรือระดับออกซิเจน ส่วนผู้ป่วยที่ต้องปรึกษาแพทย์ สามารถติดต่อกับแพทย์ผ่านทางวิดีโอคอลได้
ความสำเร็จของเอ็ตเลิน เป็นผลจากความพยายามที่ชาญฉลาดของ อูลริช อาเลอ ที่อาสามาพัฒนาบ้านเกิดของเขาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เขาเคยเป็นซีอีโอของเศรษฐกิจดิจิทัลเยอรมนีมานานหลายปี และตั้งมูลนิธิ FIWARE องค์กรไม่แสวงกำไรที่ผลิตแอปและเครื่องมือต่างๆ แบบโอเพนซอร์ส ปัจจุบันเขาเป็นผู้อำนวยการของ Gaia-X องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศในยุโรปที่ทำงานเรื่องโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลและระบบคลาวด์
อูลริชบอกว่า เขาอยากสร้างพิมพ์เขียวสำหรับหมู่บ้านและเมืองอื่นๆ จากการที่เอ็ตเลินได้สร้างแฟลตฟอร์มท้องถิ่น สร้าง “ดิจิทัลทวิน” หรือแบบจำลองเสมือนจริง และมีเครือข่ายที่แข็งแรงซึ่งแสดงให้ที่อื่นๆ ได้เห็น
อูลริชกล่าวว่า บางครั้ง ความ “อัจฉริยะ” ของเมือง อาจไม่ได้หมายถึงแค่การมีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าและสะดวกสบายเท่านั้น แต่ยังหมายถึง สำนึกความรับผิดชอบร่วมกันของผู้คน ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และการกล้าที่จะคิดการใหญ่
จากหมู่บ้านชนบทชายขอบของเยอรมนี เอ็ตเลิน ได้ทำให้โลกเห็นถึงแนวทางใหม่ที่เปลี่ยนหมู่บ้านเล็กๆ ที่ห่างไกลให้เป็นกลายเป็น “เมืองอัจฉริยะ” ที่ล้ำหน้ากว่าเมืองใหญ่อีกหลายแห่งบนโลก
ที่มา
The World’s Smartest City Is a Tiny German Village
Digitaler Dorf Zwilling Borchen-Etteln