Skip to main content

 

นักภาษาศาสตร์เผย เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ “เอไอ” เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและปฏิสัมพันธ์ของ “มนุษย์” กับ “การอ่านหนังสือ” ไปแล้ว โดยผู้คนในปัจจุบันให้เวลากับการอ่านหนังสือน้อยลงกว่าที่เคยเป็นมา รวมถึงมีความกังวลต่อทักษะการอ่าน เขียน และคิดวิเคราะห์ของมนุษย์ที่อาจถดถอยลง

นาโอมิ บารอน ศาสตราจารย์เกียรติคุณด้านภาษาศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยอเมริกัน ศึกษาถึงอิทธิพลของเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการอ่าน การเขียน และการคิดของมนุษย์ เธอเขียนบทความลงในเว็บไซต์ The Conversation ถึงผลกระทบของเทคโนโลยีเอไอกับพฤติกรรมการอ่านหนังสือคนในยุคปัจจุบัน

นาโอมิ บอกว่า “เอไอ” ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมากต่อการอ่านและการเขียนหนังสือของเรา โดยที่การอ่านและการเขียนที่เคยใช้เพื่อการศึกษาวิจัยและเพื่อความรื่นรมย์ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับการอ่านเขียน ซึ่งการอ่านเขียนนั้นมีคุณค่าในฐานะที่เป็นผลผลิตจากความอุตสาหะพยายามของมนุษย์ จะถูกเปลี่ยนแปลงไปด้วยอัตราเร่งที่เร็วขึ้น 

เมื่อถามถึงความจำเป็นของการอ่านหนังสือนวนิยายในการเรียนการสอน เธอบอกว่า เอไออาจช่วยสรุปพล็อตเรื่องและสาระสำคัญต่างๆ ให้ แต่นั่นก็เป็นการลดแรงจูงใจในการอ่านหนังสือด้วยตัวเองของมนุษย์ลง    

เธอเล่าว่า เมื่อศตวรรษที่แล้ว ราชสมาคมแห่งลอนดอน ริเริ่มการสรุปเอกสารงานศึกษาด้านวิทยาศาสตร์จำนวนมากมายเอาไว้ใน Philosophical Transactions ซึ่งถือเป็นวารสารวิชาการด้านวิทยาศาสตร์เล่มแรกของโลก ต่อมาช่วงกลางศตวรรษที่ 20 การเขียนบทคัดย่อ เพื่อสรุปสาระสำคัญของงานศึกษาวิจัย ได้กลายมาเป็นที่นิยมในงานเขียนทางวิชาการ

ในยุคของอินเทอร์เน็ต ได้สร้างทางลัดให้กับการอ่านที่มากขึ้น มีบริการที่ช่วยสรุปย่อหนังสือนิยายให้ภายในเวลา 15 นาที ที่เรียกว่า “Blinks” ซึ่งจะสรุปเรื่องราวออกมาให้ทั้งอ่านและฟังได้

เมื่อถึงยุคของ เอไอ ความสามารถของเทคโนโลยีก้าวไปไกลกว่านั้นมาก มีแอปพลิเคชันที่ช่วยสรุปและเพิ่มการวิเคราะห์ซึ่งเคยเป็นงานที่ทำโดยมนุษย์ด้วยตัวเองเพิ่มเข้ามา ขณะเดียวกันยังสามารถทำให้เราแชทคุยกับหนังสือเล่มต่างๆ ได้อีกด้วย โดยที่ไม่จำเป็นต้องอ่านด้วยตัวเอง

ในสหรัฐอเมริกา หน่วยงานประเมินคุณภาพการศึกษาของสหรัฐ รายงานว่า จำนวนของนักเรียนชั้นประถม 4 ที่อ่านหนังสือเพื่อความสนุกสนาน ลดลงจากเมื่อปี 1984 ที่ร้อยละ 53 มาเป็นร้อยละ 39 ในปี 2022 ขณะที่นักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 2 อ่านน้อยลงจากร้อยละ 35 ในปี 1984 มาเป็นร้อยละ 14 ในปี 2023 แนวโน้มเดียวกันนี้เกิดขึ้นในอังกฤษด้วย ผลการสำรวจเรื่องการรู้หนังสือในอังกฤษเมื่อปีที่แล้ว พบว่า 1 ใน 3 ของคนที่อายุ 8 ถึง 18 ปีบอกว่า ยังสนุกสนานกับการอ่านหนังสือยามว่าง ซึ่งลดลงร้อยละ 9 จากปีก่อนหน้า

ขณะที่ผลการสำรวจนักเรียนที่อายุ 15 ปี จำนวน 600,000 คนจาก 79ประเทศในปี 2018 พบว่า ร้อยละ 49 อ่านหนังสือเพราะถูกบังคับให้ต้องอ่าน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจากทศวรรษก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 36  

ขณะเดียวกันในมหาวิทยาลัย มีงานศึกษาที่เธอทำร่วมกับนักวิจัย แอนน์ แมนเกน พบว่า คณะต่างๆ มีการลดจำนวนของหนังสือที่กำหนดให้นักศึกษาต้องอ่าน ส่วนนักศึกษาเองก็มักจะไม่ยอมอ่านหนังสือเหล่านั้น

“อาจารย์ต้องเข้าใจนะว่า พวกเราไม่อ่านหนังสือพรรค์นั้นหรอก เราแค่อ่านนิดๆ หน่อย เพื่อให้พอสอบผ่าน” นักศึกษารายหนึ่งตอบ

การสำรวจในอังกฤษเมื่อปี 2024 พบว่า คนวัยผู้ใหญ่ที่เคยอ่านหนังสือเป็นประจำ ร้อยละ 35 กลายมาเป็น lapsed reader หรือ ขาดช่วงการอ่านและไม่ได้อ่านหนังสืออีก โดยร้อยละ 26 บอกว่า เพราะพวกเขาใช้เวลาไปกับโซเชียลมีเดีย

เนื่องจากปัจจุบัน ผู้คนใช้เอไอช่วยทำงานทางความคิดแทนมากขึ้นเรื่อยๆ นาโอมิ บอกว่า กระบวนการนี้เรียกว่า cognitive offloading หรือ การถ่ายโอนภาระทางการคิดออกไป มีงานวิจัยที่บ่งชี้ว่า ยิ่งพึ่งพาเอไอให้ทำงานแทนมากขึ้นเท่าไร จะยิ่งรู้สึกว่านำความสามารถทางด้านการคิดออกมาใช้น้อยลงเท่านั้น

นาโอมิบอกว่า ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่า เอไอส่งผลอย่างไรต่อความสามารถในการคิดของเราในระยะยาว ยิ่งไปกว่านั้น งานวิจัยที่มีอยู่ส่วนใหญ่ยังเน้นไปที่งานเขียนหรือการใช้เครื่องมือเอไอทั่วไป มากกว่าเรื่องการอ่าน

นาโอมิ ย้ำความสำคัญของการอ่านหนังสือว่า ช่วยเรื่องพัฒนาการด้านสมอง ช่วยให้มีความสุข ทำให้มีชีวิตที่ยืนยาว และช่วยชะลอการเกิดภาวะความจำเสื่อม

“ถ้าเราไม่ฝึกฝนการอ่าน การวิเคราะห์ และการสร้างการตีความของเราเอง ทักษะเหล่านี้ก็มีความเสี่ยงที่จะอ่อนแอลงไป” นาโอมิกล่าว


ที่มา
AI is making reading books feel obsolete – and students have a lot to lose