คนที่ผ่านยุค 2010 มาอาจรู้สึกว่า มันคือ "ยุคทองของการท่องเที่ยว" เพราะการท่องเที่ยวคึกคักมากจริงในระดับโลกตลอดทศวรรษ ในไทยนักท่องเที่ยวเพิ่มทุกปี สายการบินโลว์คอสต์ให้บริการอย่างเริงร่า คนจีนมาเที่ยวไทย คนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่น คนตะวันตกเที่ยวไปทั่ว ฯลฯ
แน่นอนโควิดเปลี่ยนทุกอย่างไปในปี 2020 และคนก็คิดว่าโควิดจบแล้ว "ทุกอย่างจะกลับเป็นปกติ" เพราะอย่างน้อยในช่วงปี 2023 คนเหมือนเก็บกด ไม่ได้ไปเที่ยวไหนนาน แล้วก็ออกมาเที่ยวกัน แต่ในปี 2025 สถานการณ์ก็ดูจะพิสูจน์แล้วว่า ด้วยภาวะเงินเฟ้อต่อเนื่องในโลก และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน น่าจะไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีก ถ้าอยู่ในบ้านเรา ไปตามแหล่งท่องเที่ยว ก็จะรู้สึกว่านักท่องเที่ยวน้อยลง
บางคนก็อาจคิดว่านี่เป็นแค่ "ความรู้สึก" แต่ในความเป็นจริงแหล่งที่คนฮิตเที่ยวมันเปลี่ยนไปหมด ญี่ปุ่นชนะไทยขาดลอยจนแทบไม่มองไทยเป็นคู่แข่งแล้ว หลังจากค่าเงินตกรัวๆ ทำให้นักท่องเที่ยวแห่แหนกันไป ทำให้ญี่ปุ่นทำยอดนักท่องเที่ยวนิวไฮต่อเนื่อง ส่วนใน SEA ละแวกบ้านเราเองประเทศที่มาแรงสุดๆ คือเวียดนาม ทุกอย่างยังถูกและน่าตื่นเต้น และไทยกลายเป็นประเทศที่ถูกมองว่า "แพงและน่าเบื่อ" ไปแล้ว (โดยอีกปัจจัยคือค่าเงินบาทแข็งมาก แต่นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง)
แต่เหนือกว่านั้น ผลสำรวจของพวกบริษัทด้านการเงินเริ่มเห็นเทรนด์ที่น่าสนใจว่า คนที่ไปเที่ยวไกลๆ หรือไป "พักร้อน" ของคนอเมริกันจากเดิมปี 2023 มีประมาณ 2 ใน 3 แต่ตอนนี้คนที่ยังวางแผนท่องเที่ยวเหลือแค่ครึ่งเดียวแล้ว และในบรรดาคนที่วางแผนเที่ยวนี้ เป็นคนที่มีเงินเดือนเกิน 275,000 บาท คิดเป็นสัดส่วนราวๆ ครึ่งนึง จากที่คนกลุ่มนี้ที่มีสัดส่วนเพียงแค่ 1 ใน 3 เมื่อ 2 ปีก่อน
อธิบายง่ายๆ คือ นักท่องเที่ยวอเมริกันมีน้อยลง และคนที่ยังเที่ยวได้อยู่คือ พวกรายได้สูง
นี่เลยทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวส่วนที่โตสุดคือ ส่วนของการท่องเที่ยวแบบหรูหรา เรียกได้ว่าในขณะที่เศรษฐกิจส่วนอื่นๆ หดตัว อุตสาหกรรมกลุ่มนี้กลับโตเรื่อยๆ และจริงๆ แนวโน้มแบบนี้ก็พบในหลายประเทศ
แต่นี่หมายความว่า กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวที่ตั้งเป้าไว้กับชนชั้นกลางก็ได้รับผลกระทบหนักมากจากการ "รัดเข็มขัด" ของชนชั้นกลางทั่วโลก เมืองท่องเที่ยวอย่าง "ลาสเวกัส” คนก็ซาลง ยอดจองโรงแรมต่ำระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งพอสื่อไปสัมภาษณ์คนอเมริกันก็จะเห็นเลยว่า ไอเดียบินไปเที่ยวในประเทศของคนรายได้ปานกลางยังถดถอยเลย การท่องเที่ยวกลายเป็นเรื่องของการขับรถไปเที่ยวใกล้ๆ แบบไปเช้าเย็นกลับ ไม่ค้างคืน ด้วยเหตุผลด้านงบประมาณ
สิ่งนี้ไม่ใช่แค่เกิดขึ้นกับในอเมริกา แต่ในอังกฤษและในยุโรปเอง ก็มีแนวคิดแบบ Extreme Day Trip พูดง่ายๆ คือ การไปเที่ยวต่างประเทศแบบไปเช้าเย็นกลับ ซึ่งบางคนอาจจะมองว่า เป็นผลของการที่เที่ยวบินโลว์คอสต์แอร์ไลน์มันถูกและมีเยอะ แต่อีกด้านคือ ก็สะท้อนภาวะการรัดเข็มขัดด้วย เพราะการท่องเที่ยวจริงๆ ที่แพงคือค่าที่พักและอาหาร การ ไปอยู่นานๆ ก็ยิ่งเสียเงินเยอะ และในบริบทยุโรป คนมีวันลาพักร้อนเหลือเฟืออยู่แล้ว (สหภาพยุโรปมีข้อกำหนดว่าชาติสมาชิกต้องมีวันหยุดให้คนทำงานขั้นต่ำปีละ 20 วัน หรือมากกว่านั้นก็ได้ อดีตสมาชิกอย่างอังกฤษมีวันหยุดพักร้อนตามกฎหมายมากถึง 28 วัน) ดังนั้น การที่คนยุโรปเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ ไม่ใช่เรื่องของการไม่มีวันหยุด แต่เป็นเรื่องของการต้องการประหยัดเงินล้วนๆ
เคสของยุโรป การท่องเที่ยวอาจแพงขึ้นอีกเพราะทางสหภาพยุโรปมีมาตรการสู้โลกร้อน โดยการหยุดลดหย่อนไม่เก็บภาษีเชื้อเพลิงอุตสาหกรรมการบิน ดังนั้น ค่าเครื่องบินจะแพงขึ้นแน่ๆ โดยเค้าทำเพราะอยากให้คนไปขึ้นรถไฟมากขึ้น แต่ผลก็คือคนจะท่องเที่ยวกันในราคาที่แพงขึ้น
ถามว่าทั้งหมดจะนำไปสู่อะไร ? เราต้องมาดูข้อมูลอีกอย่างที่น่าตกใจ
แม้ว่ายอดนักท่องเที่ยวจะตกลง แต่ในอเมริการายได้ของอุตสาหกรรมการบิน โรงแรม และบ้านเช่าระยะสั้นไม่ตก ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าอุตสาหกรรมพวกนี้ "ขึ้นราคา" กระจุยกระจาย
ทั้งหมดไม่ได้เป็นไปตาม "กลไกตลาด" แบบที่เราเข้าใจกันที่นักท่องเที่ยวน้อยลง แล้วทุกอย่างในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะลดราคาลง สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นภาวะตรงกันข้าม ทุกอย่างกลับขึ้นราคา เพื่อให้ "รายได้" ของธุรกิจไม่ลดลงทั้งที่ "ผู้บริโภค" หดลง
เพื่อให้เห็นภาพ รายงานจากอุตสาหกรรมโรงแรมในอเมริกาพบเลยว่า พวกห้องพักโรงแรมที่ราคาระดับ 30,000 บาทขึ้น เป็นหมวดที่คนต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแน่นอน มันสวนทางกับภาพที่เศรษฐกิจแย่ลง คนไม่มีเงินเที่ยวแบบ "ชนชั้นกลาง" และ "ชาวบ้าน" ทั่วไปมองเห็น
ดังนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวก็คือ ชนชั้นกลางก็จะเที่ยวน้อยลงๆ ภาวะของ "ไฮซีซั่น" แบบที่บ้านเราเห็นว่า "ทุกคนผลัดกันไปเที่ยวญี่ปุ่น" แบบเมื่อสัก 10 ปีก่อนจะไม่มีอีกแล้ว ชนชั้นกลางจะเที่ยวกันใกล้ๆ และการไปเที่ยวต่างประเทศก็จะแทบออกจากสารบบความคิดเลย เพราะทุกอย่างแพงไปหมด ส่วนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวก็จะมุ่งทำบริการขายคนรวยเป็นหลักเพื่อความอยู่รอด เพราะนั่นคือคนกลุ่มเดียวที่มีเงินจ่าย
ถามว่าการทำแบบนี้อาจไม่ยั่งยืนหรือเปล่า? คำตอบคือ ไม่ใช่ เพราะการเปลี่ยนรูปแบบการผลิตของโลกด้วย AI เร็วๆ นี้หลายฝ่ายประเมินว่า จะทำให้คนที่จนนั้นจนลงไปอีก งานจะหายาก นายจ้างก็จะยิ่งกดค่าแรงง่าย แต่คนรวยที่เป็น "เจ้าของทุน" ก็จะรวยขึ้นอย่างมหาศาล พวกนี้และเครือข่ายนี่เองที่จะเป็นลูกค้าหลักของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในอนาคต
แน่นอน หลายคนอาจเศร้าที่วันคืนดีๆ ที่ใครๆ ก็นั่งเครื่องบินไปเที่ยวได้นั้นน่าจะจบลงแล้ว แต่ถ้าความทรงจำเรายาวนานพอ เราก็น่าจะตระหนักว่า "ยุคทองของการท่องเที่ยว" ในทศวรรษที่แล้ว ดูจะเป็นข้อยกเว้นทางประวัติศาสตร์มากกว่าที่จะเป็น "เรื่องปกติ" เพราะก่อนหน้านั้น ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษย์ "การท่องเที่ยว" ก็เป็นเรื่องของ "คนรวย" หรือ "ชนขั้นสูง" ในสังคมมาตลอดอยู่แล้ว คนส่วนใหญ่ในสังคมไม่ได้ไปไหนไกลจากถิ่นที่ตนเกิดหรอก
อ้างอิง
Travel is for the rich now
Extreme Day Trips
Ending the aviation fuel tax exemption in Europe