Skip to main content

 

Libertus Machinus


 

อเมริกามี "วิกฤติ" ที่พักอาศัยจริงๆ ซึ่งถ้าไปดู เราก็จะเห็นเลยว่า "คนไร้บ้าน" เพิ่มกระจุยกระจาย ปัญหาพื้นฐานเค้าก็จะบอกว่ามาจากการขึ้น "ค่าเช่า" แบบรายเดือนที่สูงรัวๆ จนคนไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า และ "เรื่องราว" ของคนที่สู้ค่าเช่าไม่ไหว ต้องกลายมาเป็นคนไร้บ้านก็มากมายนับไม่ถ้วน โดยทุกวันนี้แม้แต่การอยู่อาศัยใน "รถบ้าน" ที่สมัยก่อนคนจะมองในแง่ดูถูก มาทุกวันนี้ก็กลายมาเป็น "ก็ยังดีกว่าไร้บ้าน" ไปแล้ว และคนแก่ๆ จำนวนมากที่อยู่คนเดียวก็เลือกทางนี้

อย่างไรก็ดี "บ้าน" ก็ยังมีความสำคัญกับสังคมอเมริกัน มันยังเป็น "อุดมคติ" ของชีวิต โดยเฉพาะชีวิตคนในวัยทำงานที่มีครอบครัวและต้องการ "พื้นที่" กล่าวคือ คนในวัยทำงานอเมริกันก็ยังมองว่าตัวเองควรจะมี "บ้าน"

แต่ปัญหาก็วนกลับมา ราคาบ้านทุกวันนี้ขึ้นสูงกว่ารายได้ไปเยอะ ไม่ใช่คนไม่อยากซื้อบ้าน แต่ไม่มีปัญญาจะซื้อ คือมันเป็นไปไม่ได้อีกแล้วที่คนเริ่มทำงานจะเริ่มซื้อบ้านแบบ "บ้านเริ่มแรก" (starter house) แบบในสมัยก่อน เพราะเงินมันไม่พอ

บางคนก็จะคิดว่าถ้าซื้อบ้านไม่ไหว ก็ต้องเช่าอยู่ ซึ่งปัญหาก็วนไปว่า มันคาดเดาไม่ได้ว่าเจ้าของบ้านจะขึ้นราคาค่าเช่าเมื่อไร ซึ่งการขึ้นราคาค่าเช่าทุกปีก็ไม่แปลก

แต่มันยังมีอีก "ทางเลือก" ซึ่งหลังๆ คนเริ่มเลือกเยอะขึ้น นั่นคือการอยู่ "บ้านน็อคดาวน์" หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Mobile Home

ในอเมริกา เวลาพูดถึงตลาดบ้านน็อคดาวน์ มันไม่ใช่การซื้อบ้านน็อคดาวน์ไปลงบนที่ดินตัวเองแบบคนไทย แต่มันพูดถึงตลาดอสังหาริมทรัพย์แบบเฉพาะ แบบที่คล้ายๆ กับ "หมู่บ้านน็อคดาวน์" ด้วยซ้ำ ซึ่งจะเรียกว่าเป็น "สวนรถบ้าน" แบบหรูหรากว่าก็ได้ เพราะอย่างน้อยๆ อยู่บ้านน็อคดาวน์ ก็มีบ้านอยู่เป็นหลังๆ มีระบบไฟฟ้าประปาครบ ดังนั้นจะทำครัว จะอาบน้ำก็ได้ มันดีกว่าอยู่รถบ้านเยอะ  (ปกติรถบ้าน จะไม่มีห้องอาบน้ำและห้องครัว)

แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่ดึงดูดให้คนซื้อบ้านน็อคดาวน์คือ "ราคา" ถ้าจะอธิบายง่ายๆ ราคาบ้านน็อคดาวน์ถูกกว่าบ้านเดี่ยวที่มีขนาดพอๆ กันถึงราว 1 ใน 3 เช่น บ้านเดี่ยวชั้นเดียวในอเมริกา ราคาอาจเริ่มที่ 3 ล้านบาท แต่ถ้าเป็นบ้านน็อคดาวน์มือสองไซส์พอๆ กันราคาอาจเริ่มที่ 1 ล้านบาท เป็นต้น

ความ "ประหยัด" ไม่ใช่แค่นี้ เพราะบ้านน็อคดาวน์ถือเป็น "ทรัพย์สิน" เหมือนรถยนต์ ดังนั้น เวลาซื้อขายจึงทำกันได้ง่ายๆ เสร็จในวันเดียว ไม่ต้องไปสำนักงานที่ดินอะไรทั้งนั้น ภาษีโอนบ้านก็ไม่ต้องเสีย และการที่สถานะบ้านเป็นทรัพย์สินแบบนี้ ค่าใช้จ่ายส่วนที่เป็น "ค่าประกันภัยบ้าน" ที่ต้องเสียตามกฎหมายถ้าถือครองบ้าน (ตามกฎหมายแต่ละรัฐ) ก็ไม่ต้องเสียเช่นกัน

ถ้าถามว่าทำไมมันราคาถูกได้ขนาดนี้ แน่นอนส่วนหนึ่งเพราะโครงสร้างมันไม่แข็งแรง ระดับถ้าโดนพายุก็ปลิว (แต่ใครมันจะกังวลพายุกันล่ะ?) มากกว่านั้น การซื้อบ้านน็อคดาวน์คือซื้อแค่ตัวบ้าน ไม่ได้ซื้อที่ดิน ดังนั้นก็ต้องจ่าย "ค่าเช่า" ที่ดินอยู่ดี

แล้วแบบนี้มันต่างจากอะไรจากการเช่าบ้านอยู่ที่คนหลีกเลี่ยงกัน? คำตอบเร็วๆ คือ ปกติค่าเช่าที่คนอยู่บ้านน็อคดาวน์จ่ายเป็นการจ่ายค่าเช่าที่ดินเปล่าๆ แบบจ่ายอัตราเดียวระยะยาว เป็นสัญญาเช่าที่ดินที่มีระยะเวลายาวมาก ดังนั้นค่าเช่าจึงคาดเดาได้ ไม่ต้องทำสัญญาใหม่ทุกปี แล้วมีการขึ้นค่าเช่ารายปีไปเรื่อยๆ แบบการเช่าบ้านอยู่

ดังนั้น ในแง่นี้ การซื้อบ้านน็อคดาวน์ ในแง่หนึ่งไม่ได้ถูกมองว่าเป็นการ "เช่า" แต่มันถูกมองว่านี่เป็นการ "ซื้อ" บ้านแบบที่ถูกที่สุดต่างหาก

จริงๆ ตลาดบ้านน็อคดาวน์มีมานานแล้ว แต่คนในอเมริกาก็ไม่ได้สนใจกัน เพราะถ้าเลือกได้ คนก็จะซื้อบ้านพร้อมที่ดินกันอยู่แล้ว เพราะรู้สึกว่า "มั่นคง" กว่า แต่พอยุคหลังๆ ราคาบ้านพร้อมที่ดินแพงขึ้นระดับ "เกินเอื้อม" สำหรับคนจำนวนมากก็เลยเริ่มมองหา "ตัวเลือกที่ถูกกว่า" แบบพวก "บ้านน็อคดาวน์"

แล้วคนก็สนใจมากขึ้นจริงๆ สิ่งที่จะไม่หลอกแน่ๆ คือ ในช่วงตั้งแต่ประมาณโควิดที่ผ่านมา ราคาบ้านน็อคดาวน์ในอเมริกาเริ่มสูงขึ้นเร็วมากๆ บางพื้นที่ราคาขึ้นมาเกิน 50% ภายในเวลาไม่กี่ปี หรือพูดง่ายๆ พวกนักลงทุนอสังหาเริ่มหันมาลงทุนในบ้านน็อคดาวน์กันเยอะขึ้น และการปั่นราคา เก็งกำไร ที่ในอดีตมักจะเกิดกับบ้านพร้อมที่ดิน ก็เกิดกับบ้านน็อคดาวน์ที่ซื้อขายกันแต่ตัวบ้านลอยๆ ไปแล้ว

ความน่าสนใจคือ พวกคนอเมริกันก็นิยมการลงทุนในอสังหา จริงๆ มีพวกนักลงทุนรุ่นใหม่ๆ ที่ทุนน้อย เริ่มการลงทุนอสังหาโดยการซื้อบ้านน็อคดาวน์มารีโนเวตใหม่ให้ "พร้อมอยู่" แล้วขาย ซึ่งก็ทำได้ เพราะในยุคนี้คนไม่มีเงินซื้อบ้านอย่างที่ว่ามา

แน่นอน สำหรับคนในสังคมที่ชินว่าความมั่นคงในชีวิต คือ การมีบ้านอยู่อาศัยบนที่ดินของตัวเองอาจรู้สึกประหลาดกับแนวทางการหันมาซื้อบ้านน็อคดาวน์บนที่ดินที่เช่าระยะยาวอยู่ของคนอเมริกา แต่เราก็ต้องไม่ลืมว่า นี่คือสังคมที่ทุกวันนี้คนหวาดกลัวการขึ้น "ค่าเช่า" กันมาก และก็มีเรื่องราวของคนโดนขึ้นค่าเช่าจน "ไร้บ้าน" นับไม่ถ้วนให้ได้ยินกัน

ดังนั้น การ "มีบ้าน" ก็คงดีกว่าไม่มี ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือ ความต้องการอยู่บ้านน็อคดาวน์ที่ล้นหลามขึ้น โดยเรื่องทั้งหมดก็ไม่ได้เล็ดรอดสายตาระบบทุนนิยม และพวกบริษัทเอกชนด้านสังหาก็เข้าไปปั่นราคาเรียบร้อย นักลงทุนรายย่อยผู้ประสอบความสำเร็จก็เปิดคอร์สสอนลงทุนในบ้านน็อคดาวน์เรียบร้อย และสื่อธุรกิจอย่าง Business Insider ก็รายงานให้โลกรู้ถึง "เทรนด์การลงทุน" นี้เรียบร้อยเช่นกัน

 

อ้างอิง
Trailer park treasure
The Nation's Homeless Population Is Aging Dramatically
A boomer struggled on $1,764 monthly in Social Security until she moved into a trailer to work at America's parks: 'It literally saved me'
Mobile Home Park Definition
 

อ่านบทความอื่นๆ ของผู้เขียน