แม้ว่า Donald Trump จะขึ้นครองสหรัฐอเมริกาและยืนยันอุดมการณ์ฝ่ายขวาอเมริกันให้เป็นอุดมการณ์หลักของรัฐ แต่สิ่งที่คุกรุ่นมาหลายทศวรรษที่เรียกรวมๆ ว่า "สงครามวัฒนธรรม" ก็ยังไม่จบ และจริงๆ "สงคราม" ที่ว่าก็ส่งผลไปทั่วโลกผ่านวัฒนธรรมอเมริกันสารพัดรูปแบบ ตามประสาชาติมหาอำนาจที่มี "ซอฟต์พาวเวอร์" จริงๆ
ช่วงกลางปี 2024 มีผู้หญิงชาวอังกฤษ เขียนจดหมายไปขอคำปรึกษากับคอลัมนิสต์นิตยสาร Vogue ซึ่งใจความหลักๆ ก็คือว่า เธอจะจัดงานแต่งงาน และคู่หมั้นของเธอยืนยันว่าในงานแต่งงานห้ามมี "เด็ก" อยู่เด็ดขาด ซึ่งเธอก็แจ้งเพื่อนๆ ไปในการ์ดแต่งงาน และเพื่อนๆ ของเธอหลายคนที่มีลูกก็โวย และประกาศว่าจะไม่ไปงานแต่งของเธอถ้าเถอไม่ยกเลิกระเบียบงานแต่งงานที่ห้ามเด็กเข้างาน
เราจะยังไม่เล่าว่าคอลัมนิสต์ตอบ "ปัญหาโลกแตก" นี้ยังไง แต่สิ่งที่เห็นได้จากเรื่องนี้คือ "งานแต่งงานที่ไร้เด็ก" ไม่ใช่เรื่องปกติในสังคมอังกฤษ และทำให้หลายคนช็อค
แต่กลับกัน นี่เป็นเรื่องปกติในสังคมอเมริกันปัจจุบัน และมีการสำรวจพบด้วยซ้ำว่า คู่แต่งงานอเมริกันปัจจุบันเกือบ 80% ต้องการงานแต่งงานที่ปราศจากเด็ก ดังนั้น ในอเมริกา การจัดงานแต่งงานที่ไม่มี "เด็ก" คือเรื่อง "ปกติ" ที่คนไม่ค่อยตั้งคำถามแล้ว เจ้าบ่าวเจ้าสาวสามารถแจ้งแขกได้โดยไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่สุภาพว่า "ลูกเล็กๆ" ของแขกนั้นไม่ได้รับเชิญให้มางาน
ในอเมริกา ปรากฏการณ์ไม่ต้องการให้เด็กมางานแต่งงาน หรืองาน "ปาร์ตี้" นั้น เรียกได้ว่าเป็นเรื่องปกติระดับที่มีบริษัท "รับจ้างดูแลเด็กในงานแต่งงาน" เช่น Peace of Mind Nannies ซึ่งบริษัทพวกนี้พื้นฐานก็เป็นบริษัทที่ให้บริการ "พี่เลี้ยงเด็ก" แต่ต้องแตกไลน์มาให้บริการ "ดูแลเด็กในงานแต่งงาน" ด้วย เพราะงานแต่งร่วมสมัยจำนวนไม่น้อยในอเมริกา "ไม่ต้องการให้มีเด็กร่วมในงาน" แต่ก็ยังต้องการให้พ่อแม่เด็กเข้าร่วมงานอยู่ และบริการแบบนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นการประนีประนอม
บางคนที่มีความทรงจำว่าเด็กๆ เคยไปงานแต่งงาน และก็ไม่เคยได้ยินว่ามีงานแต่งใดในโลกที่ "ห้ามเด็กเข้า" อาจงงกับปรากฎการณ์เหล่านี้ แต่หลักๆ มันเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดในยุค "สังคมคนไม่มีลูก" ที่ไม่ใช่แค่ "คนโสด" แม้แต่คนแต่งงานจำนวนมาก ก็ไม่ได้แฮปปี้ที่จะใช้พื้นที่สาธารณะร่วมกับ "ครอบครัวที่มีเด็ก" และนั่นก็เลยทำให้เกิดสินค้าและบริการสารพัดที่จะ "กันเด็กออกไปจากพื้นที่" เพื่อให้คนที่ไม่อยากอยู่ร่วมกับเด็ก สบายใจ
เราอาจไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้านึกดีๆ เอาแค่ทุกวันนี้ เราไปห้างสรรพสินค้า หรือร้านอาหารหลายๆ ร้าน เราก็จะพบกับ "เด็กเล็ก" น้อยลงจริงๆ และนี่แหละคือ "หน้าตา" ของสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งคนจำนวนไม่น้อยก็รู้สึกว่าการที่พื้นที่สาธารณะไม่มีเด็กปรากฏเลยมัน "สงบ" ดี และก็เริ่มเรียกร้องให้บริการเอกชนต่างๆ มีการกันเด็กไปจากพื้นที่
ใช่แล้ว ในยุคที่คนเลี้ยงสัตว์กันมากขึ้น มองให้สุดขั้วไปเลย เราอาจถึงยุคที่เราพา "หมา" ไปไหนก็ได้ไม่ต้องขออนุญาตก่อน แต่กลับกันเราอาจต้องถามสถานที่ว่า "อนุญาตให้เด็กเข้ามั้ย?” ก็ได้ ซึ่งในอดีต ไม่ได้เป็นแบบนี้ เพราะไปที่ไหนก็มีแต่เด็ก และคนส่วนใหญ่ก็มีลูกกันหมด
ว่ากันว่าการจัดงานแต่งงานแบบ "ห้ามเด็กเข้า" เป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกนึกคิดของคนยุคใหม่โดยเฉพาะผู้หญิง ที่พยายามจะยืนยัน "ร่างกายของฉัน ทางเลือกของฉัน" และไม่มีลูก ซึ่งก็น่าเห็นใจเพราะในบางสังคมก็มีการประณามและโจมตีผู้หญิงที่มีเจตนาจะไม่มีลูกจริงๆ แต่อีกด้าน คำถามคือ การแสดงออกถึง "สิทธิในการไม่มีลูก" มันตีกลับมาระดับที่คนเริ่มสร้างพื้นที่ "ปลอดเด็ก" แม้กระทั่งงานแต่งงานว่า เป็นสิ่งที่เหมาะสมหรือไม่?
ฝั่งนักจิตวิทยาอเมริกันมองว่า นี่เป็นวิธีคิดที่น่าเป็นห่วง คือ เค้าเข้าใจสังคมคมโสดว่า เค้าต้องการให้ปาร์ตี้งานแต่งงานมันสุดเหวี่ยงระดับที่แม้แต่คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็จะได้สนุกและหลุดจากบทบาทในชีวิตประจำวันของตัวเองบ้าง แต่อีกด้านหนึ่งแนวทางการกีดกันเด็กๆ ออกจากพื้นที่พีธีกรรมระดับพื้นฐานของสังคมมนุษย์แทบทั้งหมดตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน อย่างงานแต่งงาน นอกจากมันจะทำให้เด็กๆ ไม่ได้เรียนรู้พิธีกรรมอันสำคัญกับสังคมมมนุษย์นี้แล้ว ยังทำให้เด็กๆ รู้สึกถูกกีดกัน และสร้าง "รอยแผล" ให้เด็กๆ ด้วย
ถ้าจะพูดโหดๆ คำถาม คือ สังคมอเมริกันปัจจุบันมันเป็นบ้าอะไรถึงห้ามเด็กไปงานแต่งงาน? ก็นั่นน่ะสิ ประเด็นคือ "สงครามวัฒนธรรม" ของอเมริกามันบ้าบอในระดับที่ว่า การจัดงานแต่งงานที่ "ห้ามเด็กเข้า" เป็นการสะท้อน "ความก้าวหน้า" ของคู่บ่าวสาวที่แสดงจุดยืนจะไม่มีลูก หรือเป็นการแสดงความเป็น "ซ้าย" และคนที่ยืนยันว่างานแต่งงานควรจะให้เด็กเข้าได้ ไม่ว่าจะยืนยันด้วยเหตุผลอะไร ก็อาจโดน "ฝ่ายก้าวหน้า" ชี้หน้าแล้วโจมตีว่าเป็นพวก "อนุรักษ์นิยม" ก็ได้
นี่คืออาการของสังคมที่ความขัดแย้งทางวัฒนธรรม "กินกบาล" ผู้คน เราก็ควรจะยินดีที่สังคมของเรายังไม่ดำเนินไปถึงขั้นนั้นที่เราจะตีความทุกการกระทำของคนทุกคนว่ามีนัยทางการเมืองไปหมด
"ทางออก" ของปัญหานี้ ในกรณีที่มันไม่ได้ปรากฏมากเท่าไร ดังที่เป็นแบบ "สมัยก่อน" ก็อาจเป็นตามที่คอลัมนิสต์นิตยสาร Vogue ว่าเอาไว้ทำนองว่า ถ้าเป็นคนสมัยก่อน เค้าก็ไม่น่าจะเรียกร้องห้ามเด็กมางานแต่งงาน แต่ถ้ามีคู่บ่าวสาวทะลึ่งห้ามเด็กมางานแต่งงาน พ่อแม่ที่ได้รับเชิญแต่มีลูก ก็คงจะปฏิเสธแบบสุภาพ ส่งดอกไม้ไป แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย และก็คงจะไม่โวยวายใส่เจ้าสาวแบบที่เจ้าสาวเขียนจดหมายมาว่า เช่นกัน
ดังนั้น ในแง่หนึ่งปัญหานี้มันเกิดจากการที่คนยุคปัจจุบันพยายามจะทำให้ทุกอย่างมันสุดขั้ว พยายามจะทำให้เรื่องทุกเรื่องเป็นเรื่องการต่อสู้ทางการเมืองไปหมด แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตที่สมัยก่อนคนมันจะรอมชอมกันไป แล้วปัญหาก็จะจบได้โดยไม่ต้องมีเรื่องมีราวอะไร
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ถ้าการห้ามเด็กไปงานแต่งงานเป็นส่วนหนึ่งของ "สงครามวัฒนธรรม" และทุกวันนี้คู่บ่าวสาวอเมริกัน 4 ใน 5 ต้องการให้งานแต่งงานของตัวเองไม่มีเด็กแล้ว ก็ดูไม่ยากว่าฝั่งไหนกำลังจะชนะ "ศึก" นี้ และก็น่าสนใจเหมือนกันว่าสังคมที่ปฏิเสธการดำรงอยู่ของเด็ก มันจะเดินต่อไปอย่างไร?
อ้างอิง
My Friends Are Outraged I’m Insisting On A Child-Free Wedding
When the Couple Likes Your Child — Just Not at Their Wedding
Do Child-Free Weddings Send the Wrong Message to Children?
อ่านบทความอื่นๆ ของผู้เขียน