แคเธอรีน ฟิลิปส์ ลูกครึ่งฟิลิปปินส์-อเมริกัน อายุ 26 ปี ตอนที่เธอเลือกจะข้ามน้ำข้ามทะเลมาเมืองไทย สำหรับแม่ของเธอที่ข้ามมหาสมุทรไปแสวงหาอเมริกันดรีมตั้งแต่อายุ 19 ปี ทางเลือกของเธอดูไม่มีเหตุผลเอาซะเลย เพราะอเมริกา คือ ดินแดนที่ทุกคนอยากมาอยู่ แต่พอมาถึงรุ่นลูก กลับอยากไปอยู่ประเทศอื่น
ฟิลิปส์ไม่ได้ต่างจากคน Gen Y จำนวนมากที่รู้สึกว่า หน้าที่การงานในสหรัฐอเมริกามันรีดเค้นเวลาและทำให้เธอเหนื่อยโดยไม่ได้นำไปสู่อะไร เธอเรียนไปทำงานไปวันละ 15 ชั่วโมงในเมืองซานดิเอโกจนได้ปริญญาโทด้านการให้คำปรึกษา และถึงอายุ 20 กลางๆ เธอก็เริ่มเกิดภาวะ "เบิร์นเอาท์" และก็ตามเสต็ป เธอลาออกจากงาน
ตอนนั้นปี 2019 เธออยากจะหยุดพักสักปีเพื่อคิดเรื่องต่างๆ แต่เธอก็ไม่สามารถจะอยู่เฉยๆ ได้ เพราะไม่มีเงินเก็บ เธอต้อง "ไปเที่ยวพร้อมกับทำงาน" และเธอก็ได้เจอตำแหน่ง "ที่ปรึกษา" ของโรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่งที่เชียงใหม่ ประเทศไทย โดยสัญญาก็คือ 1 ปีพอดีกับที่เธอต้องการจะพักการทำงานพอดี
เธอก็เลยย้ายมาเชียงใหม่ ท่ามกลางเสียงค้านของพ่อแม่ที่คิดว่าถ้าเธออยากพักจากความเหนื่อยอ่อนในการทำงานสู้ค่าครองชีพสุดโหดในแคลิฟอร์เนีย ไปรัฐอื่นก็พอ ไม่ต้องถึงกับไปประเทศอื่น
ฟิลิปส์นั้นเป็นลูกครึ่งฟิลิปปินส์และเคยกลับบ้านแม่เธอที่มะนิลาบ่อยครั้ง และก็รู้สึกว่ามะนิลาและฟิลิปปินส์ไม่ได้น่าอยู่ มันค่อนข้าง "เถื่อน" และ "อันตราย" สำหรับคนอเมริกัน (สมดังที่เค้าเรียก "ลาตินอเมริกาแห่งอุษาคเนย์")
แต่เชียงใหม่ต่างออกไป คนอเมริกันถือว่า ที่นี่คือสวรรค์ของเหล่า Digital Nomad เพราะค่าครองชีพถูกมาก และวิถีชีวิตที่นี่ก็ "ช้า" กว่าเมืองใหญ่ๆ ทุกที่ในโลก ดังนั้น ทุกอย่างมันตอบโจทย์คนที่เหนื่อยหน่ายกับการทำงานออฟฟิศ และอยาก "ทำงานระยะไกล"
ฟิลิปส์ก็มาเชียงใหม่ในที่สุด แต่ทำงานไปไม่ถึง 1 ปี โควิดก็เข้าจู่โจมโลก การล็อคดาวน์ทำให้คนไทยรู้สึกชีวิตรวนไปหมดเพราะไม่ได้เจอผู้คน แล้วลองคิดว่าชาวต่างชาติที่มา "ติด" อยู่ที่นี่จะเป็นยังไง? ฟิลิปส์ก็ "เบิร์นเอาท์" อีกครั้งกับการทำงานที่ปรึกษาผ่านหน้าจอ
แต่เธอก็ไม่หนีกลับบ้าน เธอใช้จังหวะโควิดลงเรียนภาษาไทยในมหาวิทยาลัย และขอวีซ่านักศึกษาเพื่ออยู่ยาวๆ จนทุกวันนี้ก็แน่นอน เธอพูดภาษาไทยได้แล้ว และอยู่เชียงใหม่มายาวๆ ย่างเข้าปีที่ 6 เรียบร้อย
ปัจจุบันฟิลิปส์ อยู่อพาร์ตเมนต์ใกล้ถนน "นิมมาน" ค่าเช่าอยู่ที่เดือนละ 11,500 บาท และทำงานเป็นที่ปรึกษาทางการตลาด และเธอก็แฮปปี้กับชีวิตมาก
เธอบอกว่าถ้าข้ามกำแพงภาษาและชินกับอาหารที่นี่ได้ ที่นี่คือทั้งถูก ปลอดภัย และผ่อนคลายกว่าอเมริกา ฟิลิปส์บอกว่า สุขภาพจิตเธอดีขึ้นมากตั้งแต่อยู่เชียงใหม่ แต่สิ่งที่จับต้องได้มากกว่านั้นก็คือ เธอรู้สึกมีเวลาว่างทำ "งานอดิเรก" สารพัด ซึ่งตอนอยู่อเมริกา เธอไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีเวลาว่างแบบนี้
แน่นอน ส่วนหนึ่งของคนต่างชาติที่มาอยู่เชียงใหม่ย่อมรู้สึกว่ามีเวลาว่างมากขึ้น เพราะตนแทบไม่รู้จักใครในพื้นที่ และก็ไม่มีคนชวนทำโน่นนี่ แต่อีกด้าน งานระยะไกลต่างๆ (ถ้าหาได้) มันก็ทำให้คนที่ทำมีเวลาว่างมากมายจริงๆ และรายได้ของงานระยะไกลในโลกภาษาอังกฤษ ก็มากเพียงพอที่จะทำให้พวกเค้าใช้ชีวิตอย่าง "หรูหรา" ในเมืองค่าครองชีพถูกอย่างเชียงใหม่แน่ๆ
ทั้งหมดก็เรียกได้ว่า สาวฟิลิปส์ในวัย 32 ปีก็ได้ใช้ชีวิตในวัยทำงานของเธอประมาณครึ่งหนึ่งที่เชียงใหม่แล้ว และเธอก็ไม่คิดจะกลับไปอเมริกาแน่ๆ โดยเธอก็อยากจะบอกเพื่อนร่วมชาติเธอว่า ให้มาลองใช้ชีวิตนอกอเมริกาดูสักครั้ง เพราะสุดท้ายถ้าไม่ชอบ ก็กลับไปใช้ชีวิตเป็นมนุษย์เงินเดือนที่อเมริกาเมื่อไรก็ได้ แต่ถ้าไม่ใช่แบบนั้น มันก็อาจค้นพบเส้นทางชีวิตใหม่ไปเลย
สุดท้าย ข้อมูลจากทางการไทยชี้ว่า มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่ที่เชียงใหม่ประมาณ 160,000 คน ซึ่งแน่นอน คนไทยจำนวนไม่น้อยก็จะนึกภาพ "ฝรั่งแก่ๆ" แต่อีกด้านก็คือ มันมีพวก Digital Nomad มาอยู่ไม่น้อย และถึงแม้ว่าคนกลุ่มนี้ปัจจุบันจะเริ่มย้ายไปอยู่บาหลีซะเยอะ (เพราะเค้ามองว่ามันคือเชียงใหม่เวอร์ชั่นมีทะเล) แต่คนอีกไม่น้อยก็ยังมองว่าเชียงใหม่น่าอยู่มากอยู่ เพราะสุดท้ายสิ่งที่ทำให้ที่อื่นๆ ในโลก (และในไทย) เทียบกับเชียงใหม่ได้ยากก็คือ ความครบเครื่องระหว่างค่าครองชีพที่ถูก และสิ่งอำนาจความสะดวกที่ครบเครื่อง โดยเฉพาะสำหรับต่างชาติ ซึ่งถ้าใครเคยไปเชียงใหม่อย่างน้อยๆ ก็คงจะเห็นว่าเมืองนี้มี "อาหารนานาชาติ" หลากหลายแค่ไหน ซึ่งร้านพวกนี้ตั้งมาขาย "ต่างชาติ" เป็นหลักทั้งนั้น และในความเป็นจริงอาหารของหลายๆ ชาติที่หากินได้ที่เชียงใหม่ น่าจะราคาถูกยิ่งกว่าในประเทศต้นกำเนิดด้วยซ้ำ ซึ่งใครมาเจออาหารที่เชียงใหม่และพบว่ามันถูกกว่าบ้านตัวเองก็น่าจะทึ่งกับ "ค่าครองชีพ" ที่นี่กันทั้งนั้น และนี่ก็น่าจะเป็นภาพจำเรื่องค่าครองชีพที่ถูกที่ทรงพลังของเชียงใหม่
อ้างอิง
A mom chased the American dream. Her daughter walked away from it and moved to Thailand.