Skip to main content

อัตราโรคอ้วนทั่วโลกพุ่งสูง 40% ล่าสุดมีคนไทยป่วยด้วยโรคอ้วน 20 ล้านคน มากเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย มีความเสี่ยงเป็นซึมเศร้า และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากกว่า 8 แสนล้านบาท

เอ็นริโก้ คานัล บรูแลนด์ รองประธานบริหารและผู้จัดการทั่วไป บริษัทโนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวในเวทีเสวนา ‘วันอ้วนโลก’ (World Obesity Day 2024) ว่า อัตราผู้ป่วยด้วยโลกอ้วนทั่วโลกในปัจจุบันเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 40 ขณะที่คนไทย 20 ล้านคนเป็นโรคอ้วน ซึ่งสูงเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย และมีแนวโน้มว่าเพิ่มมากขึ้นทุกปี

เอ็นริโก้ อ้างรายงานจาก BMJ Global Health ระบุว่า หากจำนวนผู้ป่วยโรคอ้วนในไทยยังไม่ลดลง ในปี 2060 จะเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยถึงร้อยละ 4.9 ของ GDP หรือคิดเป็นเงินประมาณ 8.53 แสนล้านบาท โรคอ้วนจึงเป็นเรื่องใหญ่ระดับโลกที่ทุกคนควรให้ความสำคัญและร่วมมือกันขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์โรคอ้วนไปในทิศทางที่ดีขึ้น

“ประชากร 1 ใน 3 คน ป่วยด้วยโรคอ้วน จึงทำให้โรคอ้วนเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่คิดมาก ดังนั้น การลดอัตราผู้ป่วยโรคอ้วนจึงเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ด้านการแพทย์และสาธารณสุขของไทย เพราะประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ รวมถึงคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มของการเป็นโรคอ้วนและมีน้ำหนักเกินมาตรฐานสูงขึ้นทุกปี” เอ็นริโก้กล่าว

รองศาสตราจารย์ นายแพทย์เพชร รอดอารีย์ นายกสมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทย กล่าวว่า “เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ทางภาครัฐและภาคเอกชนควรร่วมมือกันในการส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักรู้ถึงภัยจากโรคอ้วนที่ส่งผลกระทบร้ายแรงอย่างยิ่งต่อสุขภาพ อาทิ โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคเบาหวาน โรคตับ ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ ปวดหลังเรื้อรัง โรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ และมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็ง โดยภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนทำให้เกิดภาระทางเศรษฐกิจและงบประมาณของประเทศอย่างมาก เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคไต มีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงถึง 134,000 – 421,000 บาท ต่อคนต่อปี”

ทางด้าน นายแพทย์โอฬาริก มุสิกวงศ์ สูตินรีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ระบุถึงสาเหตุของโรคอ้วนว่า ไม่ได้เกิดจากการที่ผู้ป่วยโรคอ้วนขาดวินัยในการดูแลตัวเอง หรือขาดความมุ่งมั่นในการลดน้ำหนักเท่านั้น แต่ยังมีหลายปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบด้วย ไม่ว่าจะเป็นพันธุกรรมที่ส่งผลต่อโรคอ้วนมากถึงร้อยละ 40-70  ความเครียดที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงให้น้ำหนักขึ้น สภาพแวดล้อมและวิถีชีวิตที่มีกิจกรรมขยับเคลื่อนไหวร่างกายน้อยก็ส่งผลให้อ้วนได้ง่ายเช่นกัน ซึ่งในมุมของปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและการดำเนินชีวิต ก็มีอิทธิผลต่อน้ำหนักที่มากเกินได้

“ประชากร 1 ใน 3 คน ป่วยด้วยโรคอ้วน จึงทำให้โรคอ้วนเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่คิดมาก ดังนั้น การลดอัตราผู้ป่วยโรคอ้วนจึงเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ด้านการแพทย์และสาธารณสุขของไทย เพราะประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ รวมถึงคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มของการเป็นโรคอ้วนและมีน้ำหนักเกินมาตรฐานสูงขึ้นทุกปี” 

ดร.พิมพนิต คอนดี ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาและพฤติกรรมศาสตร์ Nudge Thailand ให้ข้อมูลถึงการนำเรื่องพฤติกรรมศาสตร์มาปรับใช้กับผู้ป่วยโรคอ้วนหรือผู้มีน้ำหนักเกิน ด้วยการปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ “การไม่อ้วน” เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน อาทิ การเตรียมชุดและอุปกรณ์การออกกำลังกายไว้ข้างเตียงให้พร้อม การจัดตู้เย็นให้มีอาหารและเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ การจัดเตรียมของว่างหรือขนมที่ลดความหวานมัน รวมถึงการสร้างกลุ่มเพื่อนที่ชอบออกกำลัง ก็จะช่วยส่งเสริมการลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นายแพทย์สมิทธิ์ อารยะสกุล แพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท กล่าวว่า ในปัจจุบัน ยังมีผู้คนอีกมากที่ขาดความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องโรคอ้วน รวมถึงทัศนคติเชิงลบต่อผู้ป่วยโรคอ้วนและผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะโรคอ้วนไม่ได้มีผลกระทบต่อร่างกายเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบถึงจิตใจด้วย

นายแพทย์สมิทธิ์ กล่าวว่า ผู้ป่วยโรคอ้วนเพศหญิงร้อยละ 50 และเพศชายร้อยละ 41 พบว่า มีปัญหาด้านสุขภาพจิตรุนแรง  ผู้ป่วยโรคอ้วนมีความเสี่ยงเป็นภาวะซึมเศร้ามากกว่าร้อยละ 55 และภาวะวิตกกังวลมากขึ้นร้อยละ 25 นอกจากนี้ ยังพบอีกว่า มีการบูลลี่เรื่องน้ำหนักเกินมากเป็นอันดับหนึ่งในเด็กและวัยรุ่น ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรคอ้วนมักจะมีแนวโน้มเป็นภาวะซึมเศร้ามากกว่าคนปกติถึง 1.34 เท่า ซึ่งมีงานวิจัยระบุว่าหากผู้ป่วยโรคอ้วนสามารถลดน้ำหนักได้อย่างน้อยร้อยละ 10 จะช่วยทำให้สุขภาพกาย คุณภาพชีวิต ความมั่นใจ สุขภาพทางเพศ การทำงานและสภาพจิตใจนั้นดีขึ้นได้ในทุกๆ ด้าน

ศาสตราจารย์ นายแพทย์สุเทพ อุดมแสวงทรัพย์ ผู้อำนวยการศูนย์บำบัดรักษาและป้องกันโรคอ้วนและโรคเมตาโบลิคแบบครบวงจร (ศูนย์รักษ์พุง) โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวถึงการแก้ปัญหาและการรักษาผู้ป่วยโรคอ้วนว่า โดยควรมีการพูดคุย สอบถามข้อมูลให้ทราบถึงพฤติกรรมในการใช้ชีวิต การทานอาหาร การออกกำลังกายหรือกิจกรรมการเคลื่อนไหวของร่างกายในแต่ละวัน รวมถึงข้อมูลสุขภาพส่วนตัว เพื่อให้ทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงและหาแนวทางในการลดน้ำหนักที่เหมาะสมร่วมกัน หากไม่ได้ผลอาจต้องใช้ยาในการรักษาร่วมด้วย


ทั้งนี้ เวทีเสวนา ‘วันอ้วนโลก’ (World Obesity Day 2024) จัดโดยบริษัท โนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับภาคีเครือข่าย ได้แก่ สมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทย, ชมรมศัลยศาสตร์โรคอ้วนแห่งประเทศไทย, ศูนย์บำบัดรักษาและป้องกันโรคอ้วนและโรคเมตาโบลิคแบบครบวงจร (ศูนย์รักษ์พุง) โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

งานดังกล่าว มีเป้าหมายเพื่อสร้างความตระหนักให้คนไทยเข้าใจว่า โรคอ้วนเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับโลกที่กระทบต่อคนจำนวนมากในประเทศ และต้องการให้ภาคเอกชนและภาครัฐมีการทำงานร่วมกันเพื่อการยกระดับมาตรการ และผลักดันเป้าหมายสู่การลดจำนวนผู้ป่วยโรคอ้วนในประเทศไทย ร่วมรณรงค์ให้คนไทยรับรู้และเข้าใจผลกระทบจากโรคอ้วน เปลี่ยนมุมมองและเข้าใจผู้ป่วยโรคอ้วน ให้ความรู้ในการป้องกันและรักษาโรคอ้วนอย่างถูกต้อง จนถึงการสร้างแรงบันดาลใจเพื่อให้ผู้ป่วยก้าวไปสู่เป้าหมายการลดน้ำหนักอย่างถูกวิธีและมีสุขภาพที่ดีได้อย่างยั่งยืน