Skip to main content

 

งานวิจัยของวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล เผย ปัจจุบันคนไทยเลี้ยงสัตว์เลี้ยงแบบ  Pet Humanization หรือ การเลี้ยงดูเสมือนลูกหรือสมาชิกในครอบครัวกันมากขึ้นจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อสัตว์เลี้ยง อยู่ที่ตัวละ 50,500 บาทต่อปี และคาดว่าในปี 2569 มูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงไทยอาจโตทะลุ 1 แสนล้านบาท

ประเสริฐ ธวัชโชคทวี อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ สาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) กล่าวในงานสัมมนา "Pawssible Society: Pet in the City" ว่า สังคมไทยที่ครอบครัวมีขนาดเล็กลง คนรุ่นใหม่ที่ไม่อยากมีลูก และวิถีชีวิตคนเมืองที่นิยมอยู่คนเดียวมากขึ้น รวมถึงโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ล้วนเป็นปัจจัยส่งเสริมให้คนเมืองหันมานิยมเลี้ยงสัตว์กันมากขึ้น เพราะนอกจากจะน่ารัก มอบความสุขทางใจ และเป็นเพื่อนคลายเหงาได้ดีแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการเลี้ยงลูกจริงๆ จึงทำให้เทรนด์การเลี้ยงสัตว์เสมือน “สมาชิกในครอบครัว” (Pet Humanization) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ประเสริฐกล่าวว่า มีสถิติที่น่าสนใจพบว่า ชาว Pet Humanization ยอมใช้จ่ายเงินเพื่อสัตว์เลี้ยงสูงถึงตัวละ 50,500 บาทต่อปี ในขณะที่ Pet Owners ธรรมดามีค่าใช้จ่ายเพียงตัวละ 7,910 บาทต่อปี ส่งผลให้ตลาดสัตว์เลี้ยงไทยเติบโตสูงเฉลี่ยปีละ 13.2% จาก 3.3 หมื่นล้านบาทในปี 2562 พุ่งแตะ 9.2 หมื่นล้านบาทในปี 2568 และคาดว่าจะทะลุ 1.01 แสนล้านบาทในปี 2569

​ประเสริฐมองว่า กระแสดังกล่าวสะท้อนให้เห็นชัดว่า หัวใจของตลาดสัตว์เลี้ยงทุกวันนี้ ไม่ได้อยู่ที่สินค้าหรือบริการที่ตอบสนองในขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังต้องตอบโจทย์ “Peace of Mind” ที่ทำให้เจ้าของมั่นใจว่า สัตว์เลี้ยงจะมีชีวิตที่ดีและมีอายุยืนยาว ซึ่งเป็นโอกาสทางการตลาดที่สำคัญของผู้ประกอบการและนักการตลาดควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ

ในการวิจัยของ CMMU เรื่อง “โมเดลการตลาดสัตว์เลี้ยง 5P - กรอบกลยุทธ์เชิงธุรกิจสัตว์เลี้ยง” เพื่อศึกษาพฤติกรรม แรงจูงใจ และปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าและบริการสำหรับสัตว์เลี้ยง จากกลุ่มตัวอย่าง 357 คน ประกอบด้วย Baby Boomers & Gen X 102 คน Gen Y 155 คน และGen Z  100 คน ในจำนวนนี้เป็นเจ้าของสุนัข 160 คน แมว 160 คน และสัตว์เลี้ยงพิเศษหรือ Exotic Pets อีก 37 คนใน 4 หมวดหลัก ได้แก่ อาหารสัตว์ (Pet Foods) การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Pet Health & Wellness) ประกันภัยสัตว์เลี้ยง (Pet Insurance) และเทคโนโลยีสำหรับสัตว์เลี้ยง (Pet Tech) มีผลที่น่าสนใจ ดังนี้



ด้านอาหารสัตว์ (Pet Foods)

 

พบว่า ผู้เลี้ยงตัดสินใจเลือกซื้ออาหารโดยให้ความสำคัญกับคุณภาพวัตถุดิบมากที่สุดถึง 56% ตามด้วยราคาที่เหมาะสม 45% ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ 41% และจากรีวิวและความสะดวกในการซื้อ 20% โดยมีการใช้จ่ายเงินอาหารสัตว์เลี้ยงเฉลี่ยสูงถึง 32,000 บาทต่อตัวต่อปี และยังมีกลุ่มที่ยอมจ่ายเงินมากกว่า 36,000 บาทต่อตัวต่อปีสูงถึง 30% และยอมจ่ายมากกว่า 120,000 บาทต่อตัวต่อปี ซึ่งจัดเป็นกลุ่ม Super Premium Segment ถึง 7.4% โดย Gen Y ซึ่งส่วนใหญ่เป็นครอบครัวไม่มีลูก นิยมเลี้ยงสัตว์แทนลูก เป็นกลุ่มลูกค้าที่มียอดใช้จ่ายสูงสุดมากที่สุด เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาด
 

 

การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Pet Health & Wellness)

 

พบว่า ผู้เลี้ยงนิยมพาสัตว์เลี้ยงไปรับบริการด้านสุขภาพที่คลินิกมากที่สุดที่ 63.3% โรงพยาบาลเอกชน 57.1% โดย 3 อันดับบริการยอดนิยม ได้แก่ ฉีดวัคซีน 86.3% ตรวจสุขภาพ 65.3% ทำหมัน 61 % ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการใช้บริการอยู่ที่ประมาณ 10,000 -30,000 บาทต่อตัวปี

การศึกษาพบว่า กลุ่มคน Gen Z ให้ความสำคัญกับสุขภาพสัตว์มากที่สุด ส่วนเกณฑ์ในการตัดสินใจเลือกสถานพยาบาล ทุก Gen ลงความเห็นตรงกันว่า เลือกจากใกล้บ้าน ราคาสมเหตุสมผล และความเชี่ยวชาญของสัตวแพทย์เป็นหลัก และ 3 บริการสำหรับสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่ Grooming 51.6%, Hotel 18.5% และ Pet Friendly 11.5%

 


ประกันภัยสัตว์เลี้ยง (Pet Insurance)

 

พบว่า ผู้เลี้ยงสัตว์ 71.4% รู้จักผลิตภัณฑ์ประกันภัยสัตว์เลี้ยง แต่มีเพียง 9% เท่านั้นที่ใช้บริการจริง โดยปัจจัยในการเลือกซื้อ ให้ความสำคัญกับความคุ้มครองครอบคลุม มากที่สุดถึง 75.8% ค่าเบี้ยประกันที่สมเหตุสมผล 60.6% ความง่ายในการเคลมและความสะดวกในการใช้บริการ 57.6% และผู้เลี้ยงส่วนใหญ่ถึง 71 % ต้องการจ่ายค่าเบี้ยประกันไม่เกิน 2,500 บาทต่อปี/ตัว

 


​เทคโนโลยีสำหรับสัตว์เลี้ยง (Pet Tech)

 

ปัจจุบัน Pet Tech ยังไม่ค่อยแพร่หลายมากนัก แต่พบว่า Smart home device เป็นที่รู้จักมากที่สุด 93% และมีโอกาสเติบโตสูงสุดในตลาด Pet Tech รองลงมา คือ Service & Commerce Platforms 78%, Health and Nutrition 77%, Behavior & Emotion Tech 67% และ Genetic & Bio Tech 64% โดย Baby Boomers & Gen X 67% พร้อมเปิดใจและอยากทดลองใช้ ในขณะที่ Gen Y และ Gen Z 24% อยากลองเทคโนโลยีเพื่อความสะดวก และ 34% พร้อมจ่ายเพื่อความสะดวกสบายของสัตว์เลี้ยง ส่วนความคาดหวังที่ต้องการได้จาก Pet Tech สูงสุด คือ ทำให้รู้สึกใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยงแม้ไม่ได้อยู่ด้วย โดย Gen Z ให้ความสนใจกับ Pet Tech มากที่สุดเนื่องจากเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับการสร้างความผูกพันทางอารมณ์กับสัตว์เลี้ยง

“ปัจจุบันตลาด Pet Tech ในไทยยังอยู่ในระยะเริ่มต้น แม้การรับรู้จะเพิ่มสูงแต่การนำไปใช้งานจริงยังต่ำ เนื่องจากผู้เลี้ยงยังติดปัญหาเรื่องราคา ความน่าเชื่อถือ และความยุ่งยากในการใช้งานรวมทั้งยังไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการหลายด้าน เช่น การมี demo ที่จับต้องได้ และระบบ Software & Data Integration ที่เชื่อมโยงทุกการดูแลสัตว์เลี้ยงไว้ในที่เดียว ดังนั้น โอกาสของตลาด Pet Tech จึงไม่ควรมองแค่การพัฒนาอุปกรณ์และเทคโนโลยีใหม่ ๆ แต่ต้องเน้นการสร้างความเข้าใจ ความคุ้มค่า และความน่าเชื่อถือ เพื่อปูทางสู่การยอมรับในวงกว้างในอนาคต” อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ สาขาการตลาด CMMU กล่าว