เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 9.1 ทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่นในปี 2011 ทำให้ “ตู้โทรศัพท์สาธารณะ” ในสวนของชายวัยเกษียณคนหนึ่งในจังหวัดอิวาเตะ กลายเป็นสถานที่ที่ผู้คนนับพันมาร่วมไว้อาลัย และพูดคุยกับบุคลลอันเป็นที่รักซึ่งล่วงลับไปจากแผ่นดินไหวและซึนามิครั้งนั้น และกลายเป็นรูปแบบการเยียวยาความเศร้าโศกให้กับผู้คนในที่ต่างๆ ทั่วโลกเวลาต่อมา
ในปี 2010 อิตารุ ซาซากิ อดีตพนักงานบริษัทโรงงานเหล็กในวัย 51 ปี ย้ายจากเมืองคาไมชิ มาอยู่บริเวณชายหาดนามีอิตะ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ในเมืองโอสึจิ ซึ่งมีชายฝั่งอันงดงาม เขาสร้างสวนและฟาร์มเล็กๆ ห้องสมุดกลางป่า คาเฟ่ สนามเด็กเล่น และบ้านต้นไม้ จนมีเริ่มมีอาชีพออกแบบสวนที่สวยงามและสงบเงียบให้เพื่อนบ้าน
อิตารุ ซึ่งมีการได้ยินที่ไม่ดีนัก บอกว่า เขาชอบพูดคุยกับธรรมชาติรอบตัว คิดว่าความสัมพันธ์นี้อาจขยายไปถึงโลกวิญญาณด้วย จากการที่ญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งและมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงสามเดือน
เขาบอกว่า เขาชอบคุยกับดิน ก้อนหิน ต้นไม้ พืช สัตว์เล็กๆ อย่าง เป็ด และไก่ฟ้า เมื่อเวลาผ่านไป ก็ได้เรียนรู้ว่าแม้ก้อนหิน ต้นไม้ พืช และสัตว์จะไม่ใช้ภาษามนุษย์ แต่ก็สามารถเข้าใจกันได้
“ผมเริ่มมองว่า ชีวิตและความตายไม่ใช่สิ่งแยกขาดจากกัน ความตาย คือ ส่วนต่อขยายของชีวิต และทั้งคู่คือจุดต่างๆ บนเส้นตรงเดียวกัน ดังนั้น ผมเชื่อว่าเราสามารถแบ่งปันความคิดกับผู้ที่ล่วงลับได้” อิตารุ กล่าว
หนึ่งปีต่อมา อิตารุ พบตู้โทรศัพท์สีขาวที่กำลังจะถูกย้ายออกจากโรงแรมแห่งหนึ่ง และคิดว่ามันคงสวยมากถ้าเอาไปตั้งในสวน เขาจึงพยายามขอซื้อจากบริษัทที่มารับเอาไปแต่ไม่สำเร็จ กระทั่งโชคชะตาเข้าข้าง เมื่อเพื่อนคนหนึ่งบอกว่า มีตู้โทรศัพท์คล้ายกันให้เขานำไปใช้ได้ เขาจึงรีบเช่ารถบรรทุกขับไปเมืองข้างๆ และนำมันกลับบ้าน
ตอนแรก ตู้โทรศัพท์ถูกนำไปตั้งอยู่เงียบๆ ในมุมของสวนเหมือนเป็นของประดับ แต่หนึ่งปีหลังจากที่ญาติของเขาเสียชีวิต เขาตัดสินใจทาสีใหม่และเทปูนยึดให้มั่นคง แต่ไม่ได้เชื่อมต่อมันเข้ากับอะไรเลย ไม่มีสาย ไม่มีสัญญาณ ไม่มีไฟฟ้า แต่เขาจะหยิบหูโทรศัพท์เก่าๆ นั้นขึ้นมา พูดอยู่นานราวกับกำลังคุยกับญาติผู้ใหญ่ที่จากไป
อิตารุ ตั้งชื่อตู้โทรศัพท์นี้ว่า “คาเซะ โนะ เด็งวะ” หรือ “โทรศัพท์แห่งสายลม” และมีลางสังหรณ์ว่า มันจะมีความหมายกับคนอื่นๆ อย่างมากในอนาคต
ไม่ถึงหนึ่งปีต่อมา ในวันที่ 11 มีนาคม ปี 2011 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 9.1 ที่ภูมิภาคโทโฮคุ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ส่งผลให้เกิดสึนามิที่รุนแรงและคร่าชีวิตผู้คนชาวเมืองโอสึจิ ไปถึง 19,759 คน หรือราวหนึ่งในสิบของทั้งเมือง มีผู้บาดเจ็บและสูญหายอีกจำนวนมาก
อิตารุขุดซาก คาเซะ โนะ เด็งวะ ขึ้นมา และย้ายไปตั้งบนภูเขาคุจิระยามะ ซึ่งมองเห็นทะเลเบื้องล่าง และเชิญชวนชาวเมืองที่โศกเศร้ามาที่ “โทรศัพท์แห่งสายลม” หยิบหูโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูเหมือนเปลือกหอย แล้วฟังผู้ที่จากไป
“แม้คุณจะมองไม่เห็นคนที่รักในรูปแบบเดิม แต่ถ้าคุณหลับตา โลกของคนเป็นและคนตายก็อยู่ร่วมกันได้เสมอ” อิตารุบอกกับชาวเมืองผู้สูญเสียซึ่งที่รอดชีวิต
ไม่กี่เดือนต่อมา มีคนหลายพันคนมาเยือนสถานที่แห่งนี้ เพื่อเข้าแถวพูดกับสายลม และผู้คนจากทั่วโลกก็เดินทางมาที่นี่ไม่น้อยกว่า 50,000 คน ตั้งแต่ปี 2011 มันได้กลายเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมอย่างรวดเร็ว และสร้างแรงบันดาลใจให้กับภาพยนตร์สารคดี นวนิยาย การ์ตูน คำแนะนำเรื่องการเยียวยาความเศร้า หนังสือเด็ก ซีรีส์บทกวี และบทเพลงมากมายบนยูทูป

"โทรศัพท์แห่งสายลม" บนภูเขาคุจิระยามะ เมืองโอสึจิ (ที่มา wikimedia)

ภายในตู้ "โทรศัพท์แห่งสายลม" บนภูเขาคุจิระยามะ เมืองโอสึจิ
ดร.เอเลน แคสเกต นักจิตวิทยาดิจิทัล และผู้เขียนหนังสือ All the Ghosts in the Machine อธิบายถึงความทรงพลังของ “โทรศัพท์แห่งสายลม” ต่อผู้คนว่า มันเชื่อมต่อกับความปรารถนาระดับพื้นฐานที่สุดของมนุษย์ ที่จะยังคงต้องการสื่อสารกับ “คนที่เราสูญเสีย” ซึ่งประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ล้วนเต็มไปด้วยความพยายามที่จะสื่อสารกับผู้ตาย ไม่ว่าจะเป็นการเขียนถึง นั่งคุยที่หน้าอัฐิ หรือพูดคุยกับพวกเขาในหัว
ดร.เอเลนบอกว่า สำหรับหลายคน ความเศร้ากับสิ่งที่ “ไม่ได้พูด” คือความเจ็บปวดที่สุด โทรศัพท์แห่งสายลมเปิดพื้นที่ให้คนได้พูดสิ่งเหล่านั้นออกมา เป็นพิธีกรรมแบบหนึ่งที่ช่วยปลดปล่อยความเจ็บปวดในใจ ที่สำคัญ มันสร้าง “ศูนย์กลาง” สำหรับความโศกเศร้า ซึ่งความทรงพลังของโทรศัพท์แห่งสายลมมาจากที่ตั้งอยู่ที่ ณ สถานที่เกิดโศกนาฏกรรม ในจุดที่มองลงไปยังทะเลเบื้องล่างซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปจำนวนมากมาย และช่วยผลักดันให้ผู้ป่วยใจที่เก็บตัวอยู่บ้านกล้าที่จะก้าวออกมาเผชิญโลกนอก
“คนที่โศกเศร้ามักปิดใจ ไม่พบใคร ไม่คุยกับใคร ไม่ออกจากบ้าน สูญเสียแรงจูงใจทุกอย่าง แต่ด้วยการเปิดประตูเพียงนิดเดียว เพื่อไปเยือนโทรศัพท์แห่งสายลม ก็เชื่อมให้เขาค่อยๆ ก้าวผ่านจาก การไม่ทำอะไรเลย ไปสู่การทำอะไรบางอย่าง เพื่อเยียวยาตัวเองจากความเศร้าได้” อิตารุ กล่าว
เขาบอกว่า บางครั้งการสื่อสารแบบทางเดียวอาจช่วยได้มากกว่า ผู้ไว้อาลัยระบายความเจ็บปวดผ่านโทรศัพท์ ผ่านการพูดคุยกับตัวเอง พวกเขาจึงมีโอกาสจัดระเบียบความคิดและความรู้สึกของตัวเอง

อิตารุ ซาซากิ กับ "โทรศัพท์แห่งสายลม"
หลายปีต่อมา ในเดือนมีนาคม ปี 2020 เอมี ดอว์สัน ซึ่งอยู่คนละฟากฝั่งมหาสมุทร ที่นอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกาเธอเพิ่งเสียลูกสาวอันเป็นที่รักซึ่งป่วยมานานสามปี เอมีจมอยู่ในความโศกเศร้าอย่างหนัก เริ่มศึกษาวิธีเยียวยาตัวเอง และลงเรียนหลักสูตรบริหารจัดการความเศร้า จนพบกับเรื่องราวของ “โทรศัพท์แห่งสายลม” และรู้สึกถึงความเชื่อมโยงทันที เธอบอกว่า มันเป็นสถานที่แห่งความเข้มแข็งที่สุดและเป็นของขวัญที่งดงามที่สุดในโลก จากการที่โทรศัพท์เคยเป็นสายใยให้กับลูกสาวของเธอที่ล้มป่วยให้สามารถเชื่อมต่อกับโลกภายนอกได้
เอมี เริ่มรวบรวมข้อมูลโทรศัพท์แห่งสายลมจากทั่วโลก และสร้างเว็บไซต์ชื่อ My Wind Phone ทำแผนที่โทรศัพท์แห่งสายลมที่มีอยู่ตามที่ต่างๆ เธอสร้างโทรศัพท์แห่งสายลมขึ้นในสวนที่บ้านเพื่อรำลึกลูกสาว ทำให้เธอรู้สึกว่ายังใกล้ชิดกับลูกสาวและรู้สึกว่าได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา เอมียังชักชวนให้ผู้คนให้สร้างโทรศัพท์แห่งสายลมของตัวเอง
ตอนที่เอมีเริ่มต้นสร้างเว็บไซต์ My Wind Phone มีโทรศัพท์แห่งสายลมอยู่แค่ราว 20 จุดทั่วโลก แต่ในไม่ช้า ผู้คนที่พยายามเยียวยาความเศร้าเริ่มสร้างโทรศัพท์แห่งสายลมของตัวเองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยอิงจากเจตนารมณ์ดั้งเดิมของ อิตารุ ซาซากิ ตั้งแต่ประเภทของโทรศัพท์ สถานที่ตั้ง ไปจนถึงลักษณะของตู้
ปัจจุบัน มีโทรศัพท์แห่งสายลมสาธารณะ 353 จุดทั่วโลก โดย 249 จุดอยู่ในสหรัฐอเมริกา แต่ละจุดมีคำอุทิศสั้นๆ เหมือนป้ายรำลึกถึงผู้ที่จากไป และมีบางจุดในสหราชอาณาจักร
“ฉันโทรหาเธอผ่านโทรศัพท์แห่งสายลม และรู้สึกเหมือนมีคนโยนเชือกช่วยชีวิตให้ ฉันพูดทุกอย่างที่ไม่เคยพูดกับใครตั้งแต่เธอจากไป ที่สุดแล้วฉันได้รู้ว่าเธอยังอยู่กับฉัน ขอบคุณที่ให้พื้นที่ฉันได้กอดความเศร้าของตัวเอง” หนึ่งในคำอุทิศที่เขียนผู้ที่จากไป
อิตารุบอกว่า “ความเศร้า” ควรได้รับการเยียวยาจากความเศร้าที่เข้าใจความเศร้านั้น น้ำตาจะได้รับการปลอบโยนจากน้ำตาที่หลั่งร่วมกัน เขาจึงเริ่มจัดการสัมนาเพื่อดูแลความเศร้าตามหลักการของโทรศัพท์แห่งสายลม เพื่อทบทวนบทบาทของมันในการบำบัดจิตใจผู้คน และจนถึงทุกวันนี้ เขายังคงดูแลตู้โทรศัพท์แห่งสายลมด้วยตัวเองอยู่โดยที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ที่มา
Ringing up the dead: how a Japanese phone box changed the way we grieve