Skip to main content

 

“การร้องเพลงร่วมกัน” เป็นวัฒนธรรมหนึ่งที่โดดเด่นของ “ชาวเดนมาร์ก” ที่สืบทอดมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ช่วยสร้างความสามัคคี ความเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน และสร้างกำลังใจให้กับผู้คนในยามที่เผชิญวิกฤต

โกเซีย คอสโลวสกา นักจิตวิทยาบำบัด ซึ่งทำงานกับผู้ป่วยเรื้อรัง ผู้มีระบบประสาทผิดปรกติ และเป็นนักบำบัดด้วยการเขียน ศิลปะ โยคะ เธอเล่าถึงเรื่องไม่คาดคิดหลังย้ายมาอยู่ที่เดนมาร์ก ซึ่งพบว่า ชาวเดนมาร์กชื่นชอบร้องเพลงอย่างมาก โดยเฉพาะ การร้องเพลงเป็นกลุ่ม เธอไม่เข้าใจว่า เหตุใดชาวเดนมาร์กจึงหลงรักการร้องเพลงกันมากมายขนาดนี้

โกเซียเล่าว่า ชาวเดนมาร์กร้องเพลงกันเยอะมาก ไม่ใช่แค่ในคอนเสิร์ตหรือคาราโอเกะ แต่ในโรงเรียนด้วย และยังร้องเพลงในช่วงเวลาวิกฤต สร้างความประหลาดใจให้กับคนต่างชาติอย่างเธอที่เพิ่งเข้ามาอยู่ใหม่ ต่อมาเธอพบว่า การร้องเพลงร่วมกัน หรือ “เฟเลสแก๊บ” เป็นวัฒนธรรมเดนมาร์กที่มีเสน่ห์และเต็มไปด้วยความหมาย

“เฟเลสแก๊บ” (Fællesskab) หมายถึง ความเป็นหนึ่งเดียวกัน ถูกนำมาใช้อธิบายการร้องเพลงร่วมกันของชาวเดนมาร์ก ซึ่งโกเซียบอกว่า เป็นการแสดงออกที่สวยงาม นอกจากท่วงทำนองแล้ว ยังสร้างการเชื่อมต่อทางอารมณ์ถึงกัน เป็นการปลูกฝังความรู้สึกเป็นเจ้าของ และเป็นสะพานเชื่อมคนระหว่างวัย

ความรักการร้องเพลงของชาวเดนมาร์ก มีรากมาจากคริสตศตวรรษที่ 16 ในช่วงการปฏิรูปศาสนาที่เปลี่ยนจากคาทอลิกมาเป็นลูเธอรัน และมีการนำเอาหนังสือเพลงบทสวดเข้ามาในชีวิตประจำวันของประชาชน มีการกระตุ้นให้ผู้คนมาร้องเพลงสวดร่วมกันในพิธีทางศาสนา และทำให้เสียงเพลงกลายเป็นสิ่งที่ชาวเดนมาร์กใช้สื่อสารโดยตรงกับพระเจ้า

กระทั่งทศวรรษที่ 1800 การร้องเพลงแบบหมู่คณะกลายมาเป็นสถาบันทางวัฒนธรรม นิโคลาจ กรุนด์วิก นักศาสนา นักกวี นักประวัติศาสตร์ และนักคิดด้านการศึกษา ที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อสังคมและวัฒนธรรมเดนมาร์ก เห็นถึงพลังของการร้องเพลงที่จะเป็นเครื่องมือสำคัญต่อการสร้างสายสัมพันธ์ภายในกลุ่มหรือชุมชน รวมถึงการสร้างชาติ

หลังพ่ายแพ้สงครามกับปรัสเซียในปี 1864 แนวคิดของกรุนด์วิจ ถูกนำมาใช้ในขบวนการเคลื่อนไหวเรื่องเพลงพื้นบ้านในโรงเรียนมัธยม ซึ่งถูกใช้เป็นสถานที่ให้การศึกษาแก่ผู้ใหญ่ด้วย โดยมุ่งเน้นไปที่การสนทนา ความคิดสร้างสรรค์ และการร้องเพลงจำนวนมาก

โรงเรียนมัธยมเหล่านี้มีการร้องเพลงร่วมกันทุกวัน โดยใช้  Højskolesangbogen หรือหนังสือรวบรวมบทเพลงต่างๆ ทั้งเพลงชาติ เพลงประเพณี เพลงโบสถ์ เพลงพื้นบ้าน และเพลงร่วมสมัยไว้ด้วยกัน หนังสือดังกล่าวยังคงใช้ต่อมาจนทุกวันนี้ ล่าสุด มีการปรับปรุงและตีพิมพ์เป็นครั้งที่ 19 ในปี 2020

โรงเรียนในเดนมาร์ก ให้ความสำคัญกับการร้องเพลงร่วมกัน โรงเรียนส่วนใหญ่เริ่มต้นวันหรือสัปดาห์ด้วยการ “ร้องเพลงตอนเช้า” ซึ่งนักเรียนและครูจะร่วมกันร้องเพลง โดยความสำคัญอยู่ที่ทุกคนได้ร้องเพลงร่วมกัน

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รัฐบาลเดนมาร์กให้การสนับสนุนโดยลงทุนสร้าง morgensangskorp หรือ วงนักร้องประสานเสียงตอนเช้า ที่รวมเอานักดนตรีอาชีพเดินทางไปตามโรงเรียนต่างๆ เพื่อทำให้การร้องเพลงตอนเช้ายังคงได้รับการรักษาและสืบทอดต่อไป มีงานวิจัยที่พบว่า การร้องเพลงช่วยทำให้นักเรียนมีสมาธิดีขึ้น และช่วยสร้างความเป็นชุมชนที่เข้มแข็งให้กับชั้นเรียน นอกจากนั้น ยังช่วยพัฒนาความมั่นใจการพูดและการร้องเพลงของเด็กๆ อีกด้วย

นอกจากจะใช้เพื่อความรื่นเริงแล้ว การร้องเพลงร่วมกัน ยังใช้ในการสร้างขวัญกำลังใจและความเข้มแข็งในยามที่ต้องเผชิญภัยเลวร้ายในช่วงเวลามืดมนอีกด้วย ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวเดนมาร์กร้องเพลงชาติร่วมกัน เป็นการแสดงการต่อต้านการรุกรานของนาซี และยืนยันถึงความเป็นเดนมาร์กแม้จะถูกยึดครองโดยกองทัพนาซีเยอรมันก็ตาม ซึ่งการร้องเพลงชาติร่วมกัน เป็นเสมือนการประกาศว่า ชาวเดนมาร์กยังคงอยู่ที่นี่ และเดนมาร์กยังคงเป็นเดนมาร์ก ไม่สูญสลายไปไหน

ช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ชาวเดนมาร์กปรับรูปแบบการร้องเพลงใหม่ โดยการร้องเพลงร่วมกันผ่านทางหน้าจอโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่นที่บ้าน หรือร่วมกันร้องเพลงผ่านโปรแกรมซูม ทำให้ไม่รู้สึกว่าถูกโดดเดี่ยว เพราะได้ร้องเพลงร่วมกับคนอีกนับพันพร้อมกันทั่วประเทศ แสดงให้เห็นถึงพลังของการร้องเพลงร่วมกันที่ช่วยให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ถูกล็อกดาวน์ หรือช่วงเวลาแห่งความเศร้าโศก และช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอน

แม้ชาวเดนมาร์กจะรักการร้องเพลง แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะชื่นชอบในสิ่งนี้ มีการศึกษาที่เพิ่งตีพิมพ์ในหนังสือ Så syng da, Danmark! เผยว่า มีชาวเดนมาร์กร้อยละ 22 ที่รู้สึกไม่สะดวกใจกับการร้องเพลงร่วมกับคนอื่น ขณะที่ร้อยละ 26 รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าอาย ส่วนหนึ่งเพราะคิดว่าเสียงไม่เพราะ หรือร้องได้ไม่ดีพอ ซึ่งเกิดจากการเคยถูกวิจารณ์

บางส่วนมองว่า การร้องเพลงร่วมกัน เป็นการสร้างความเป็นปึกแผ่นที่ล้าสมัย หรือการร้องเพลงเก่าอย่าง blonde girls and beech forests ไม่เข้ากับสภาพสังคมปัจจุบันที่ประชากรเดนมาร์กมีความหลากหลายทางเชื้อชาติมากขึ้น ซึ่งจะทำให้คนที่ไม่ใช่คนผิวขาวเกิดความรู้สึกถึงการถูกกีดกัน หรือถูกทำให้เป็นคนนอก

นอกจากนี้ แนวโน้มความเป็นปัจเจกนิยมที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะจากกลุ่มคนที่มีการศึกษาสูง ดังนั้น จึงไม่ใช่ว่า ชาวเดนมาร์กทุกคนจะสนุกสนานไปกับการร้องเพลงเป็นกลุ่ม หรือคล้อยตามไปกับแนวทางชาตินิยมแบบโรแมนติกนี้


ที่มา
Fællesskab: Why Singing Together is So Important in Danish Culture