“สำหรับพ่อ น้องโบ้ทหรือญาติวีรชนทุกคนก็ยังมีความหวังว่าสักวันหนึ่งต้องเป็นประชาธิปไตยและต้องเอาคนที่สั่งฆ่าประชาชนมาลงโทษให้ได้ ปัจจุบันก็นี้ก็ยกฟ้องคนชุดดำหลายคนแล้ว จะติดตามไปตลอดจนหมดลมหายใจ”
บรรเจิด ฟุ้งกลิ่นจันทร์ พ่อของเทิดศักดิ์ ฟุ้งกลิ่นจันทร์ ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์สลายการชุมนุม นปช. 10 เมษายน 2553 ที่แยกคอกวัว เปิดใจกับทีมข่าว The Opener ว่าวันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน 2565 จะครบรอบ 12 ปีการจากไปของลูกชายด้วยกระสุนจริงในช่วงที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีมาตรการขอคืนพื้นที่จากผู้ชุมนุม โดยที่ทุกวันนี้ยังไม่สามารถหาตัวฆาตรกรมาดำเนินคดีตามกฎหมายได้
คดีความยังคงค้างอยู่ในสำนวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) บรรเจิด กล่าวว่า ยังโชคดีที่แกนนำ นปช. และพรรคเพื่อไทย ยังคงติดตามเรื่องนี้ และมีทนาย โชคชัย อ่างแก้ว เป็นผู้ประสานกับญาติแต่ละครั้งว่าไปยื่นร้องขอความเป็นธรรมที่ไหน อย่างไร เช่น สำนักงานอัยการสูงสุด หรือศาลอาญา ตัวเองเป็นแค่พ่อค้าแม่ค้า ประชาชนธรรม ไม่รู้จักเรียกร้องได้แค่ไหน แต่อยากได้ความยุติธรรม อยากให้เอาคนผิดมาลงโทษ อยากให้ศาลทำให้คดีกระจ่างคลี่คลาย แต่นี่ยังไม่มีขอโทษหรือความคืบหน้าอะไรเลย แต่ว่าการยกฟ้องคดีชายชุดดำก็เป็นเหมือนแสงเล็กๆ ที่ทำให้ยังมีความหวัง
“อย่างเรา เราเป็นประชาชนธรรมดา เป็นพ่อค้าแม่ค้า ก็อยากได้ความยุติธรรม แล้วก็เอาดำเนินการเรื่องทั้งหมดออกมา คนไหนผิด คนไหนไม่ได้ทำ อย่างนี้ เอาออกมาพิจารณา อยากให้ผู้มีอำนาจจะเป็นศาล ออกมาช่วยกันทำให้คดีมันกระจ่างให้ประชาชนได้เห็นว่าพวกเขาได้ทำแล้วนะ แล้วก็เยียวยากันไปว่าอะไรยังไง ให้มันสิ้นสุด แต่นี่ไม่ยอมรับผิด ไม่ยอมขอโทษ ไม่ยอมอะไรเลย”
บรรเจิด ยอมรับว่าทุกวันนี้ก็ยังคิดถึงลูก ถ้าพูดถึงลูกชายก็จะร้องไห้ตลอด ทุกเช้าก็จะพูดกับรูปของลูกชายว่า “โบ้ทเอ้ย วันนี้พ่อไปขายของนะ ให้พ่อแม่ขายดีๆ นะลูกนะ” เพราะโบ้ทเองตอนยังมีชีวิตก็ช่วยพ่อแม่ทำมาหากิน ช่วยเติมความสร้างสรรค์ให้ร้านอาหารตามสั่งของพ่อแม่
ช่วงแรกๆ ที่เสียลูกชายไปก็ลำบาก คิดว่าทำไมต้องมาเกิดกับครอบครัวฟุ้งกลิ่นจันทร์ พ่อแม่ก็เศร้าและไม่ได้ออกจากบ้านไปไหนมาประมาณเดือนกว่า ไม่ดูโทรทัศน์ แต่หลังๆ ก็เริ่มออกไปชุมนุมที่ราชประสงค์เพื่อไม่ให้เหงา แล้วก็แข็งใจกลับมาตั้งใจทำมาหากินอีกครั้ง เพราะคิดว่าถ้าโบ้ทอยู่ก็คงอยากเห็นพ่อแม่กลับมามีชีวิตเหมือนเดิม และก็คิดเองว่าเราต้องอยู่ให้ได้ อยู่เพื่อรอทวงความยุติธรรมและทำบุญให้ลูก อย่างวันอาทิตย์ที่ 10 เมษายนนี้ตัวเองและภรรยาก็จะไปทำพิธีรำลึกการสลายการชุมนุมที่แยกคอกวัวเหมือนเดิม แม้ว่าตอนนี้จะเหลือเพียงแค่ 3 ครอบครัว เพราะครอบครัวอื่นๆ ก็แยกย้ายกันไปทำมาหากินต่างจังหวัดบ้าง หรือเลี่ยงการไปที่สาธารณะช่วงโควิดบ้าง
ถึงทุกวันนี้ก็ยังยืนยันว่าสิ่งที่ลูกชายทำไปเป็นสิ่งถูกต้องที่เขาชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย แม้ว่าหลังจากนั้นจะมีการรัฐประหารอีกครั้งในปี 2557 และทำให้สิทธิเสรีภาพของประชาชน และเศรษฐกิจถดถอย คดียิ่งไม่มีความคืบหน้า แต่ก็ดีใจที่ยังมีคนรุ่นใหม่ออกมา เรียกร้องประชาธิปไตย และต้องการยุติอำนาจเผด็จการทหารให้สิ้นซาก
“ผมก็ไม่รู้ว่า ชีวิตทำไม เราก็ไม่ได้ไปอะไร แต่ว่ามันเหมือนกับลูกมันหมดบุญตรงนี้แล้วเนาะ เราก็ต่อสู้มาถึงทุกวันนี้ก็บอกว่า บอกกับแม่เขา จนกว่าเราจะหมดลมหายใจ หลังจากนั้นก็ไม่รู้แล้ว ว่าใครจะไม่ แต่ก็ยังได้คำพูดจากหลานที่จุดประกายให้กับย่าเขา ย่าเขายังบอกเลย เขานอนตายตาหลับแล้ว หลานจะได้ทวงความยุติธรรมให้กับลุงโบ้ท”