Skip to main content

วันที่ 31 ส.ค. ที่รัฐสภา พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ส.ส.พรรคก้าวไกล ร่วมอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า ขออภิปรายในวันนี้ ทั้งในฐานะที่เป็นผู้แทนราษฏรและในฐานะที่เป็นอดีตตำรวจ เพราะยอมรับไม่ได้ที่ พล.อ.ประยุทธ์ กำลังทำให้องค์กรตำรวจเปลี่ยนจาก "ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์" กลายเป็น "ผู้พิทักษ์ทรราช" ทำให้ตำรวจกลายเป็นกลไกในการปราบปรามประชาชนเพื่อรับใช้ "ระบอบปรสิต" ที่คอยสูบเลือดสูบเนื้อจากประชาชนเจ้าของประเทศ  

 

ใช้คำสั่งอำมหิตปราบ ปชช. "ข้ามขั้นตอน-อุปกรณ์เกิน-รุนแรงเกินกว่าเหตุ"

 

พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ฉวยโอกาสในสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด 19 ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตั้งแต่ มี.ค.2563 จนบัดนี้กว่า 16 เดือนแล้ว นอกจากนี้ ในวันที่ 15 ต.ค.2563 ยังเคยยกระดับจากการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินปกติ ให้เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง เพื่อให้ตนเองมีอำนาจมากขึ้น โดยอ้างเรื่องขบวนเสด็จ ทั้งนี้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้แก้ปัญหาวิกฤติโรคระบาด แต่เพื่อใช้สำหรับสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ตั้งแต่ปี 2548 ซึ่งตั้งแต่ที่มีการบังคับใช้ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอดว่า กฎหมายฉบับนี้เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ยิ่งใช้ก็ยิ่งสร้างความขัดแย้ง ดังนั้น เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ นำ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมาใช้โดยอ้างเรื่องโควิด พรรคก้าวไกลจึงได้คัดค้านตั้งแต่ต้น และได้เตือนว่าต้องใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สำหรับการควบคุมทางด้านสาธารณสุขเท่านั้น ไม่ใช่ฉวยโอกาสเอากฎหมายพิเศษนี้มาเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการปราบปรามประชาชน 
 
"แต่มาถึงวันนี้ เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ ล้มเหลวทุกด้าน ทุกมิติ ในการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แก้ปัญหาวิกฤติโควิด แต่กลับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อควบคุมสื่อมวลชนและประชาชนที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล และเพื่อกดปราบการชุมนุมขับไล่ตัวเอง ผมทราบดีครับว่า พล.อ.ประยุทธ์ จงใจใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะกฎหมายฉบับนี้เป็นเกราะกำบังให้พวกท่าน ไม่ต้องรับผิดทางกฎหมาย เหมือนครั้งที่พวกท่านล้อมปราบประชาชนเมื่อปี 2553 แต่วันนี้ ผมจะชี้ให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องรับผิด เพราะพวกท่านใช้อำนาจกระทำการโดยไม่สุจริต และใช้อำนาจปราบปรามประชาชนรุนแรงเกินสมควรแก่เหตุ ซึ่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่สามารถคุ้มครองได้  พล.อ.ประยุทธ์ มักอ้างเสมอว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามหลักสากล หากแต่ในทางปฏิบัติ ก็ออกคำสั่งอำมหิตให้ตำรวจเดินหน้าเข้าปะทะผู้ชุมนุมในทันที สาดกระสุนยางและแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมไม่ยั้งมือ โดยไม่คำนึงถึงสวัสดิภาพและความปลอดภัยของประชาชน ซึ่งคำสั่งอำมหิตที่ผมได้กล่าวไปนั้น มีลักษณะที่พูดให้เข้าใจง่ายๆ ได้ว่า 'ข้ามขั้นตอน อุปกรณ์เกิน รุนแรงเกินกว่าเหตุ'" พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าว 

 

เปิดอีกหลักฐาน ปชช.โดนยิงทะลุหมวกกันน็อกตาบอดในวันเดียวกับ 'ลูกนัท' 

 

พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวว่า เรื่องข้ามขั้นตอน ตามหลักการที่ถูกต้อง ต้องเริ่มจากการเจรจา พูดคุย ตกลงกัน ให้อยู่ในขอบเขต มีโล่และกระบองเพื่อแสดงกำลัง แต่วันนี้ข้ามขั้นตอนนั้นไปแล้ว มีแค่การประกาศเป็นพิธีแล้วลุยกันเลย เดินหน้ายิงกราดเข้าปะทะผู้ชุมนุมเลย, อุปกรณ์เกิน เช่น ตู้คอนเทนเนอร์คืออุปกรณ์นอกกฎหมาย เพราะมันไม่ได้ถูกกำหนดให้ใช้ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2558 และใช้กำลังเกินกว่าเหตุ คือ การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่แต่ก่อนต้องไล่ระดับ แต่เดี๋ยวนี้ เอะอะใช้กำลังจัดการทันที นี่ถ้าไม่ใส่เครื่องแบบ เรานึกว่าผู้ชุมนุมสองฝ่ายเข้าปะทะกัน 

นอกจากนี้ ยังมีการใช้กระสุนยางกับแก๊สน้ำตาก็ผิดหลัก ยิงกราดเข้าฝูงชน ยิงเหนือกว่าเอว และยิงมาจากจุดสูงข่มด้วย เจ้าหน้าที่มีการระดมยิงทั้งแก๊สน้ำตาและกระสุนยาง โดยไม่ระบุเป้าหมายเฉพาะคนที่จะคุกคามเจ้าหน้าที่ หรือบุคคลอื่น แต่ยิงกราดเป็นห่าฝน การใช้กระสุนยางและแก๊สน้ำตานั้น ต้องใช้เวลาที่มีผู้นำอาวุธวิ่งเข้ามาทำร้ายเจ้าหน้าที่ หรืออาจจะมีผู้ชุมนุมจะไปรุมทำร้ายบุคคลอื่น หรือเผาสถานที่ ก็ยิงเพื่อระงับยับยั้ง แต่สิ่งที่เราเห็นคือการยิงเป็นห่าฝน ทำร้ายประชาชนไม่เลือกหน้า รุนแรงเกินกว่าเหตุ หลายครั้ง เดินประจันหน้า ยิงกราดคนไม่เลือกหน้า นี่หรือที่เป็นหลักสากล ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ และที่ร้ายกว่านั้น ยังมีการนำเจ้าหน้าที่ขนขึ้นรถกระบะไล่ล่าผู้ชุมนุม นี่ถ้าไม่ใส่เครื่องแบบ ผมนึกว่าเป็นแก็งค์มาเฟียค้ายาเสพติดถล่มกันแบบต่างประเทศก็ไม่ปาน

"ที่ผมพูดมาทั้งหมด ที่ยิงกราดกันนี้ ไม่ว่าจะเป็นแก๊สน้ำตา ไม่ว่าจะเป็นกระสุนยาง เป็นการยิงผิดหลักเกือบทั้งหมด แก๊สน้ำตาก็ยิงแนวตรงไปที่ผู้ชุมนุม ส่วนกระสุนยางก็ไม่ได้เล็งที่ส่วนล่างของร่างกาย แต่ดันยิงไปที่ใบหน้า ลำคอ หน้าอก การกระทำแบบนี้ทำให้ผู้ชุมนุมหรือกระทั่งผู้สื่อข่าวบาดเจ็บรุนแรงจำนวนมาก นอกจากกรณีของคุณธนัตถ์ ธนากิจอำนวย หรือ ลูกนัท อยากยกตัวอย่างอีกคนหนึ่ง วันนั้นมีเจ้าหน้าที่คุมฝูงชนขึ้นไปอยู่บนโทลเวย์ ยิงจากที่สูงลงมาหาผู้ชุมนุมโดยไม่เลือกหน้า ปรากฏว่ามีผู้ถูกยิงเข้าบริเวณใบหน้า ซึ่งความแรงของกระสุนได้ทะลุหน้ากากหมวกกันน็อกกระแทกเข้ามายังใบหน้า ทำให้หน้ากากหมวกกันน็อกแตกทะลุเข้าไป ชายคนนี้ถูกนำตัวส่งไปยังโรงพยาบาล ผลจากการควบคุมฝูงชนโดย พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้ลูกตาขวาของเขาแตก ส่วนเลนส์ตาซ้ายนั้นเคลื่อน วันนี้โอกาสที่จะทำให้ตาขวากลับมามองเห็นเป็นไปได้ยากแล้ว ทำได้แค่เพียงผ่าตัดให้ตาซ้ายพอมองเห็นได้เท่านั้นเอง นี่คือการกระทำโดยไม่ยึดหลักสากล แบบนี้แหละทำให้ประชาชน ผู้ชุมนุมทั่วไป โกรธแค้นชิงชังตำรวจภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประยุทธ์ หากไม่เปลี่ยนยุทธวิธีการดำเนินการ จะยิ่งสะสมความโกรธแค้น และนำไปสู่การปะทะกันอย่างรุนแรงมากขึ้นๆ ในอนาคต หรือท่านนายกรัฐมนตรีต้องการยกระดับความรุนแรง จนเป็นข้ออ้างให้ท่านประกาศกฎอัยการศึกเหมือนที่ท่านทำเมื่อเดือน พฤษภาคม 2557?" พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าว 

 

ความฝันอดีต ตร.อยากเห็นปกป้องสิทธิเสรีภาพ ปชช.- หยุดทหารนอกแถวทำลายศักดิ์ศรี 

 

พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวด้วยว่า ตั้งแต่ตนเป็นตำรวจมาทั้งชีวิต ไม่เคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อน ไม่เคยเห็นประชาชนโกรธแค้นตำรวจอย่างกว้างขวางแบบนี้มาก่อน ถึงขนาด พระประกาศไม่เผาผีให้ตำรวจ พ่อค้าแม่ขายไม่ยอมขายของให้ตำรวจ จนตำรวจบางหน่วยต้องประกาศงดแต่งเครื่องแบบออกจากบ้าน ซึ่งครั้งหลังสุดที่เห็นภาพอัปยศทำนองนี้ ก็เมื่อหลังเหตการณ์ พฤษภา 2535 ที่ประชาชนออกมาขับไล่นายกจากการรัฐประหาร จนทหารต้องกลับเข้ากรมกอง ไม่กล้าที่จะแต่งเครื่องแบบออกมาเดินถนน ไม่เคยคิดว่าภาพแบบนี้จะเกิดขึ้นกับองค์กรตำรวจที่ตนรัก ซึ่งมันเป็นผลจากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามากำกับควบคุมและสั่งการตำรวจให้ออกมาปราบปรามประชาชนอย่างรุนแรง ละเมิดกฏหมายและหลักการที่ถูกต้อง เพียงเพื่อรักษาอำนาจให้แก่ตัวเอง 

"ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และอดีตตำรวจ ผมมีความฝันอยากเห็นตำรวจปกป้องสิทธิเสรีภาพและความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนในระบอบประชาธิปไตย อยากเห็นสวัสดิการ สวัสดิภาพ ไม่อยากเห็นตำรวจถูกบีบจนต้องไปหาลำไพ่พิเศษเพื่อมีชีวิตที่ดี ตำรวจที่รับใช้ประชาชนที่ทำดีต้องได้ดี ไม่มีตั๋วช้าง แต่ตำรวจยุคนี้กลับถูกนายทหารนอกแถวที่ชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้กลายเป็นเพียงเครื่องมือทางการเมืองของตนเอง ทำลายศักดิ์ศรีของตำรวจ ปล่อยให้มีตั๋วช้าง ทำลายระบบคุณธรรม ปฏิรูปตำรวจแบบจอมปลอม ซ้ำถูกมองว่าเป็นโจรในเครื่องแบบ และถูกมองว่าเป็นศัตรูของประชาชน เพราะเหตุนี้ ผมจึงไม่สามารถไว้วางใจนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ ประยุทธ์ ได้อีกต่อไป ผมไม่สามารถที่จะยอมรับให้ทหารนอกแถวคนนี้มากำกับดูแล และสั่งการตำรวจ เปลี่ยนผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ ให้กลายเป็น ผู้พิทักษ์ทรราช เพื่อรับใช้ระบอบปรสิต ได้อีกต่อไป" พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวทิ้งท้าย