Skip to main content

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โรคโควิด-19 หรือ ศบค. เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 5/2565 โดยพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวในช่วงต้นของการประชุม ว่า หลังพบโควิด-19 สายพันธุ์ BA 2.2 ขอให้ทุกหน่วยงานติดตามสถานการณ์การกลายพันธุ์ และ เชื้อชนิดนี้ ทั้งเรื่องการตรวจหาเชื้อ ประสิทธิภาพวัคซีน อาการความรุนแรงของโรค และ การตอบสนองต่อยารักษา เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดต่อไป สำหรับผลงานวิจัยของไทยที่เกี่ยงข้อง ให้นำไปขึ้นทะเบียน เพื่อเป็นเลือกให้ประชาชนนำไปใช้ได้ในราคาที่ประหยัดลง นอกเหนือจากที่รัฐบาลได้จัดหาอยู่แล้ว ส่วนการปรับให้โรคโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น ยังคงไม่ใช่ในระยะเวลานี้ เดี๋ยวจะเกิดการเข้าใจกันผิด เหมือนที่ไปพาดหัวข่าวกันอยู่ทุกวันนี้ ทำให้เกิดความตื่นตระหนก แต่ก็ต้องเตรียมแผนรองรับไว้ล่วงหน้า

อย่า'ไรก็ตาม การประชุมครั้งนี้ ต้องจับตาดูถึงการเสนอปรับพื้นที่สถานการณ์ในบางพื้นที่ ใหม่ของ ศปก.ศบค.เช่น พื้นที่สีเหลือง เป็นสีส้ม หรือจากสีส้มเป็นสีเหลือง ในบางพื้นที่เห็นว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงขึ้น รวมทั้ง การพิจารณามาตรการการจัดงานสงกรานต์ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข ได้ทำข้อเสนอ ซึ่งที่ประชุมมีมติเบื้องต้นให้สามารถจัดงานประเพณีสงกรานต์ได้ แต่งดการดื่มสุรา ปาร์ตี้โฟม งดการประแป้ง การจัดกิจกรรมรดน้ำดำหัว สรงน้ำพระ ร่วมกิจกรรมที่วัด และการร่วมกิจกรรมประเพณีสงกรานต์ สามารถทำได้ แต่ทุกที่ต้องจัดโดยระวัง ภายใต้มาตรการ Covid free setting รวมทั้งใช้กลไกของท้องถิ่นช่วยมากำกับลงไปถึงระดับหมู่บ้าน โดยจัดโซนนิ่งให้ทำกิจกรรมตามประเพณีภายใต้การควบคุมโรค อย่างไรก็ตาม การจัดงานสงกรานต์ในปีนี้ ทาง ศบค.งดจัดในพื้นที่สาธารณะ เช่น ถนน หากใครจะจัดต้องขออนุญาตจากหน่วยงานที่รับผิดชอบก่อน

ทั้งนี้ เบื้องต้นที่ประชุมเห็นชอบขยาย พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินที่จะสิ้นสุดในเดือน มี.ค.นี้ ขยายไปถึงสิ้นเดือน พ.ค. 2565 พร้อมปรับพื้นที่ โดยปรับพื้นที่สีส้ม ซึ่งพื้นที่ควบคุมจากเดิม 44 จังหวัดคงเหลือ 20 จังหวัด ปรับพื้นที่สีเหลืองซึ่งเป็นพื้นที่เฝ้าระวังสูง จาก 25 จังหวัดเป็น 47 จังหวัด และปรับพื้นที่นำร่องท่องเที่ยวหรือพื้นที่สีฟ้าจาก 8 จังหวัดเป็น 10 จังหวัด

ด้าน นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ชุดใหญ่ ว่าที่ประชุมมีมติปรับระดับพื้นที่สถานการณ์ โดยพื้นที่ควบคุมจาก 44 จังหวัด เป็น 20 จังหวัด พื้นที่เฝ้าระวังสูง จาก 25 จังหวัด เป็น 47 จังหวัด พื้นที่นำร่องท่องเที่ยวจาก 8 จังหวัด เป็น 10 จังหวัด ซึ่งทุกพื้นที่ยังคงปิดสถานบริการและสถานบันเทิง แต่หากปรับเป็นร้านอาหารก็สามารถดำเนินการได้ พร้อมทั้งมติขยายเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นคราวที่ 17 ตั้งแต่  1 เมษายนถึง 31 พฤษภาคม เพื่อใช้ประโยชน์ในการควบคุมโรคอย่างเต็มที่

ที่ประชุม ศบค. มีมติเห็นชอบให้ปรับมาตรการการเปิดรับผู้เดินเข้าประเทศแบบ Test & Go ซึ่งได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว ไม่ต้องแสดงผลตรวจหาเชื้อแบบ RT-PCR ในช่วง 72 ชั่วโมงก่อนเดินทางเข้าประเทศ แต่หลังจากเดินทางเข้ามาแล้วยังคงให้ตรวจ RT-PCR ในวันแรก จากนั้นในวันที่ 5 ให้ตรวจแบบ ATK ด้วยตัวเองแล้วแจ้งผลผ่านแอปพลิเคชัน พร้อมกันนี้ ศบค.ยังเตรียมพิจารณาปรับลดวงเงินประกันของนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยในระยะต่อไป  เพื่อเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวในจังหวะเวลาที่เหมาะสม

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ศบค.มีมติให้สามารถจัดงานเทศกาลสงกรานต์ได้ โดยสถานที่จัดงานสงกรานต์ต้องอยู่ในพื้นที่ควบคุมจำกัด อนุญาตให้เล่นน้ำ และจัดกิจกรรมตามประเพณี เช่น รดน้ำดำหัว สรงน้ำพระ การละเล่น การแสดงทางวัฒนธรรม โดยต้องปฏิบัติตามมาตรการ Covid Free Setting ห้ามประแป้ง ปาร์ตี้โฟม และห้ามจำหน่ายและบริโภคแอลกอฮอล์ในพื้นที่จัดงาน

พร้อมทั้งได้กำหนดมาตรการป้องกันโควิด-19 โดยการเตรียมตัวก่อนร่วมงาน ประชาชนที่จะเดินทางกลับภูมิลำเนา และกลุ่ม 608 ต้องได้รับวัคซีนตามเกณฑ์ ขณะเดินทางกลับห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และต้องประเมินความเสี่ยงของตนเอง หากพบว่ามีอาการ หรือมีความเสี่ยง ขอให้หลีกเลี่ยงเข้าร่วมงาน หรือตรวจ ATK ก่อนเดินทางหรือก่อนร่วมงานภายใน 72 ชั่วโมง

ส่วนพื้นที่สาธารณะไม่มีการควบคุม เช่น ท้องถนน ห้ามเล่นน้ำ ประแป้ง และปาร์ตี้โฟมเด็ดขาด ส่วนกิจกรรมในครอบครัว เลี่ยงการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มเป็นเวลานาน

หลังกลับจากสงกรานต์ให้สังเกตอาการตนเอง 7 วัน โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการป่วยรุนแรง และผู้ที่ไปพบปะคนจำนวนมาก หากพบว่ามีอาการสงสัยว่าติดเชื้อให้มีการตรวจ ATK และบางสถานสามารถพิจารณาให้ WFH ให้เป็นไปตามความเหมาะสม นอกจากนี้ ผอ.ศบค.ได้เน้นย้ำให้ฝ่ายปกครองและฝ่ายความมั่นคง ร่วมทำงานกับฝ่ายสาธารณสุขอย่างเข้มงวดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพื่อให้สามารถผ่านเทศกาลนี้ไปด้วยความเรียบร้อย หากใครกระทำผิดให้ดำเนินการอย่างเด็ดขาด