วันนี้ (1 มี.ค.) เฟซบุ๊กคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย หรือ European Union in Thailand เปิดเผยว่า นอกเหนือจากการรุกรานยูเครนด้วยกำลังทหารแล้ว รัฐบาลรัสเซียยังใช้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารและการบิดเบือนข้อมูลเพื่อฉายภาพว่า ยูเครนเป็นประเทศที่เป็นปรปักษ์และไม่เป็นมิตร โดยมาช่วยกันทำความจริงให้ปรากฏด้วยการเผยแพร่ข้อเท็จจริงที่ว่า ยูเครนเป็นประเทศประชาธิปไตยรักสันติที่ต้องเผชิญกับการรุกรานด้วยอาวุธจากรัสเซียมาตั้งแต่ปี 2557
นอกจากนี้ VOAthai ยังรายงานด้วยว่า การเจรจานัดแรกเพื่อยุติการสู้รบระหว่างรัสเซียและยูเครน ยุติลงเมื่อวันวานนี้ (28 ก.พ.) ยังไม่ได้ข้อตกลงนอกจากจะมีกำหนดเจรจาต่อไป ขณะที่ยูเครนเดินหน้ากระชับความสัมพันธ์กับตะวันตกโดยยื่นใบสมัครขอเข้าร่วมสหภาพยุโรป หรือ อียู ตามรายงานของเอพี
วลาดิเมียร์ เมดินสกี หัวหน้าคณะเจรจาของรัสเซีย ระบุว่า การเจรจาดังกล่าวกินเวลาเกือบห้าชั่วโมง โดยทั้งสองฝ่ายสามารถพบจุดที่อาจหาข้อตกลงร่วมกันได้ในอนาคตและจะเดินหน้าเจรจากันต่อไป
ยูเครนส่งรัฐมนตรีกลาโหมและเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่นๆ เข้าร่วมการเจรจาบนโต๊ะยาวครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม คณะเจรจาของรัสเซียกลับนำโดย เมดินสกี ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านวัฒนธรรมของผู้นำรัสเซีย ซึ่งอาจเป็นการส่งสัญญาณว่า รัสเซียจริงจังต่อการเจรจาครั้งนี้เพียงใด
ทั้งนี้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ต้องการสิ่งใดจากการเจรจาหรือการทำสงครามครั้งนี้ แม้ชาติตะวันตกจะเชื่อว่า ผู้นำรัสเซียต้องการโค่นอำนาจรัฐบาลยูเครนและแทนที่ด้วยกลุ่มของตน เพื่อเป็นการรื้อฟื้นอำนาจของรัสเซียจากยุคสงครามเย็นในอดีต
ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีโวโลดีเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน เผยแพร่ภาพที่เขาลงนามในใบสมัครเป็นสมาชิกอียูของยูเครน ซึ่งเป็นการกระทำเชิงสัญลักษณ์ เนื่องจากยูเครนต้องใช้เวลาหลายปีเพื่อดำเนินการให้ได้ตามมาตรฐานของการเป็นสมาชิกอียู และไม่มีทีท่าว่าอียูจะรับสมาชิกใหม่ในเร็วๆ นี้
นอกจากนี้ ประเทศสมาชิกอียูทั้ง 27 ประเทศจะต้องรับรองสมาชิกใหม่อย่างเป็นเอกฉันท์ และประเทศสมาชิกบางประเทศมีขั้นตอนการรับรองที่ซับซ้อน โดยประเด็นการทุจริตฝังลึกของยูเครนอาจทำให้อียูรับรองยูเครนเป็นสมาชิกได้ยาก แม้เออร์ซูลา วอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป จะระบุเมื่อวันอาทิตย์ (27 ก.พ.) ว่า อียูต้องการให้ยูเครนเข้าร่วมกับตนก็ตาม
ขณะเดียวกัน กองกำลังรัสเซียยังคงค่อยๆ รุกคืบไปยังกรุงเคียฟ โดยภาพจากดาวเทียมของบริษัทแมกซาร์เผยให้เห็นว่า ขบวนกองกำลังยาว 25 กิโลเมตร ประกอบด้วยรถหุ้มเกราะ รถถัง ปืนใหญ่ และยานพาหนะสนับสนุนหลายร้อยคัน อยู่ห่างจากใจกลางกรุงเคียฟเพียง 25 กิโลเมตร
ทั้งยังมีการสู้รบในเมืองอื่นๆ ของยูเครน เช่น มีรายงานการระเบิดคลังน้ำมันในเมืองซูมี และอาคารบ้านเรือนในเมืองคาร์คีฟถูกยิงปืนใหญ่ใส่ โดยทางการเมืองคาร์คีฟระบุว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อยเจ็ดคน และมีผู้บาดเจ็บหลายสิบคน
อย่างไรก็ตาม กองทัพรัสเซียปฏิเสธว่าไม่ได้พุ่งเป้าไปยังย่านที่พักอาศัย แม้จะมีหลักฐานจำนวนมากที่แสดงถึงการยิงปืนใหญ่ไปยังบ้านเรือน โรงเรียน และโรงพยาบาลในยูเครน