‘พรรณิการ์’ ชี้ว่า การยุบพรรคอนาคตใหม่ทำให้คณะก้าวหน้ามุ่งทำการเมืองท้องถิ่นได้มากขึ้น และยิ่งทำให้ก้าวไกลเป็นพรรคที่แข็งแกร่งขึ้น ขณะที่ ‘ประยุทธ์’ และพลังประชารัฐ อาจไม่ได้ประโยชน์จากการแก้รัฐธรรมนูญเป็นการเลือกตั้งบัตรสองใบอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก
พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า เข้าร่วมงานเสวนา Thai Politics Update: Polls, Players, Prospects ของ สถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ (ISIS) คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบัน โดยเฉพาะการเลือกตั้งทั่วไปและการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่มีการคาดการณ์ว่าน่าจะเกิดขึ้นภายในปีนี้
ในงานเสวนา รศ.ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ ได้ถามมุมมองของ พรรณิการ์ ว่า ด้วยสถานการณ์การเมืองและกติกาการเลือกตั้งที่เปลี่ยนไป การเลือกตั้งครั้งที่จะเกิดขึ้นนี้จะแตกต่างไปจากการเลือกตั้งปี 2562 หรือไม่ ซึ่ง พรรณิการ์ กล่าวพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจไม่ลอยลำเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีต่อได้ง่ายดายในการเลือกตั้งครั้งหน้านัก
“ประยุทธ์บริหารประเทศมานานมาก และนานเกินไปแล้ว ประยุทธ์บริหารประเทศมา 8 ปี แล้วเป็นการบริหารประเทศมาผิดทาง ทำให้มีการทุจริตคอรัปชั่นในส่วนต่างๆ มากมาย และมีการบิดกฎหมายต่างๆ เพื่อสนับสนุนรัฐบาลประยุทธ์ นี่เป็นเหตุผลให้คนเรียกร้องการเลือกตั้งกันมากขึ้น”
จากการแลกเปลี่ยนความเห็นกับพรรคก้าวไกล พรรณิการ์ มองว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า ประยุทธ์น่าจะจบไม่สวยนัก หากดูตามการแบ่งเขตใหม่ กรุงเทพมหานครมีถึง 33 เขต หมายความว่าใครสามารถครองพื้นที่ กทม. ได้ ก็จะได้เก้าอี้ ส.ส. ไปได้จำนวนมากพอสมควร ซึ่งพรรคพลังประชารัฐไม่น่าจะสามารถครองพื้นที่ กทม. ไปได้มาก หากมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ใครชนะไปก็มีโอกาสสร้างโมเมนตัมส่งต่อให้ได้เก้าอี้ ส.ส. ในกทม. ด้วยซึ่งคราวนี้ก็เชื่อว่าผู้สมัครจากฟากประชาธิปไตยจะชนะการเลือกตั้งผู้ว่าฯ มีความเป็นไปได้ว่าอาจมีการเลื่อนให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ก่อนการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เพื่อให้มีการต่อรองผลประโยชน์กันก่อนจะมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.
นอกจากนี้ การเปลี่ยนกติกาการเลือกตั้งให้กลับมาใช้บัตร 2 ใบก็อาจไม่เป็นประโยชน์กับพรรคพลังประชารัฐอย่างที่ได้วางแผนไปตอนแรก เพราะปัจจุบัน พรรคพลังประชารัฐแตกออกเป็นหลายก๊กหลายเหล่า มีการแยกออกมาเป็นพรรคเล็กๆ เพราะฉะนั้น ประยุทธ์ก็จะต้องมาต่อรองผลประโยชน์กับพรรคกลางพรรคเล็กหลายทาง ถึงตอนนั้นก็ไม่แน่ใจว่าใครจะตั้งรัฐบาลได้ แต่ พรรณิการ์ เชื่อว่า ไม่น่าจะมีการย้ายฝั่งมากนักในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะพรรคที่แยกออกมาเหล่านี้เป็นเพียงการแยกเพื่อต่อรองผลประโยชน์เท่านั้น
“ถ้าเราลองดูพรรคภูมิใจไทยที่เป็นพรรคขนาดกลาง บอกว่าจะรวบรวมเสียงมาสนับสนุนประยุทธ์ แต่ถ้าไม่มีการพิจารณากฎหมายปลดล็อกกัญชาก็อาจไม่เข้าร่วมกับรัฐบาล”
ยุบ ‘อนาคตใหม่’ ยิ่งทำให้แข็งแกร่ง
รศ.ดร.ฐิตินันท์ ได้ถามเกี่ยวกับการยุบพรรคอนาคตใหม่ และการที่ พรรณิการ์ ถูกแบนจากการเมือง 10 ปี ซึ่งพรรณิการ์กล่าวว่า ต้องอธิบายให้ชัดก่อนว่า นี่เป็นเพียงการแบนไม่ให้สมัครตำแหน่งทางการเมืองต่างๆ เป็นเวลา 10 ปี แต่ไม่มีใครสามารถแบนพลเมืองไทยไม่ให้มีส่วนร่วมทางการเมืองได้ และการยุบพรรคอนาคตใหม่กลับยิ่งทำให้คณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกลเข้มแข็งขึ้น
“การยุบพรรคอนาคตใหม่เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของฝ่ายสนับสนุนประยุทธ์ เพราะยุบอนาคตใหม่แล้วยิ่งแข็งแกร่งขึ้น สมัยอนาคตใหม่เรามีเวลาก่อนเลือกตั้งแค่ 6 เดือน เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากชูแกนนำของพรรคอย่างคุณธนาธร อาจารย์ปิยบุตร หรือตัวดิฉันเอง ทำให้พรรคอนาคตใหม่เป็นพรรคที่นำโดยแกนนำ ถ้าไม่ถูกยุบพรรคก็เชื่อว่าทั้งนักวิชาการ สื่อ และคนทั่วไปก็จะยังสนใจแต่แกนนำ แต่พอยุบพรรคแล้วกลายเป็นการเปิดทางให้ ส.ส. คนอื่นมีพื้นที่ให้แสดงความสามารถมากขึ้น ก็ต้องขอบคุณศาลรัฐธรรมนูญที่ทำให้พรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่ดีกว่าพรรคอนาคตใหม่ เป็นพรรคที่ยั่งยืนและสถาบันทางการเมืองมากขึ้น”
ขณะเดียวกัน เมื่อยุบพรรคอนาคตใหม่แล้ว ในช่วงที่ผ่าน คณะก้าวหน้าก็ได้มีโอกาสมาโฟกัสที่การเมืองท้องถิ่นมากขึ้น มีการส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง อบต. อบจ. และเป็นครั้งแรกที่มีการส่งผู้สมัครทั่วประเทศภายใต้ชื่อกลุ่มเดียวกัน คือ คณะก้าวหน้า หาเสียงด้วยนโยบายหลักๆ เหมือนกันทั่วประเทศ ซึ่งก็ทำให้ได้เรียนรู้มากมายจากการเลือกตั้งท้องถิ่นช่วงที่ผ่านมา