พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า แสดงความเห็นต่อกรณีที่สภาลงมติไม่เห็นด้วยร่างแก้ไข พ.ร.บ.สรรพสามิต หรือร่างกฎหมาย “สุราก้าวหน้า” ซึ่งเสนอโดยพรรคก้าวไกล โดยระบุว่าเหตุการณ์ในวันนี้ได้ทำให้เห็นอีกครั้ง ว่าสภาผู้แทนราษฎรได้กลายเป็นสภาผู้แทนของนายทุนไปแล้ว
พรรณิการ์ยังระบุด้วย ว่าหากสังเกตเกมการเมืองในวันนี้ โดยเฉพาะการไม่เข้าร่วมลงคะแนนโดย ส.ส. หลายคน รวมถึง ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลที่เคยอภิปรายสนับสนุนร่างกฎหมายสุราก้าวหน้าด้วย ส่งผลให้การลงคะแนนในรอบแรกแพ้ไป 4 คะแนน ต่อมาพรรคก้าวไกลได้อาศัยข้อบังคับขอให้มีการลงคะแนนใหม่ด้วยการขานชื่อรายบุคคล เป็นการบีบให้ ส.ส. ต้องเปิดหน้าขานคะแนนออกมาตรงๆ ว่าใครเป็นผู้แทนราษฎร และใครเป็นผู้แทนของนายทุน
เมื่อมาถึงรอบที่สอง จะเห็นได้ว่าฝ่ายรัฐบาลพยายามเล่นเกมทำสภาล่ม ไม่เข้ามาแสดงตัวเพื่อลงคะแนน แต่ต่อมาเมื่อเสียงฝ่ายเห็นด้วยเริ่มมากขึ้นและยังครบองค์ประชุม จึงรีบขน ส.ส. กลับมาจนเป็นเหตุการณ์ขานชื่อที่ชุลมุนและสับสนวุ่นวาย
พรรณิการ์ระบุต่อไปว่าแม้คะแนนจะเฉือนไปเพียง 2 คะแนน แต่ด้วยวิธีการนี้ ได้ทำให้ ส.ส. แต่ละคนต้องมาขานชื่อตัวเองต่อหน้าประชาชน ว่าจะยืนอยู่ข้างประชาชนหรือข้างนายทุน ดังนั้น จึงขอเชิญชวนประชาชนทุกคนที่ผิดหวัง ได้กลับไปดูผู้แทนราษฎรในเขตของแต่ละคน ว่าใครไม่เข้าประชุมในวันนี้ ใครที่ลงคะแนนไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายฉบับนี้
“สำหรับคนที่มีความเชื่อทางศาสนานั้นเป็นที่เข้าใจได้ แต่คนที่มีความแก่เงินทอนหรือเงินนายทุน ขอให้ประชาชนดูน้ำหน้าของพวกเขาไว้ ว่าพวกเขาคือคนที่ไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ของประชาชน ของเกษตรกรที่สินค้าราคาตกต่ำ รอคอยความหวังที่จะขายได้ราคาดีขึ้น สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะผู้แทนที่ไม่ได้เป็นของราษฎรเหล่านี้” พรรณิการ์กล่าว
พรรณิการ์ยังระบุด้วย ว่าอย่างไรก็ตามนโยบายทลายทุนผูกขาดยังคงเป็นเสาหลักของพรรคก้าวไกล และเชื่อว่าหากพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล ก็สามารถเดินหน้านโยบายสุราก้าวหน้าได้ทันทีโดยการแก้กฎกระทรวงภายในเวลาไม่กี่วันเช่นกัน
“ในเมื่อบีบกันขนาดนี้ ผู้แทนไม่ทำหน้าที่ผู้แทนประชาชน แต่กลับทำตัวเป็นผู้แทนนายทุน เล่นเกมการเมืองในสภา ประชาชนจึงเหลือทางเลือกเดียวในการเลือกตั้งครั้งหน้าโหวตให้กับพรรคที่จะสร้างความเจริญก้าวหน้าให้ประเทศนี้พรรคการเมืองที่พร้อม ขจัดความเหลื่อมล้ำ ทลายทุนผูกขาด และสำคัญที่สุดเลือกส.ส.ที่พร้อมทำหน้าที่เพื่อประชาขนในวันที่เดิมพันทั้งหมดอยู่ที่เสียงโหวตของพวกเขา ร่วมกันเปลี่ยนความคับแค้นใจให้เป็นพลังในวันเลือกตั้ง เพื่อปลดปล่อยเศรษฐกิจและอนาคตของประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้า” พรรณิการ์กล่าว